วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โรค “ปวดหัว” ของคนทำงาน

โรค “ปวดหัว” ของคนทำงาน
นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง



      หากมีใครคนหนึ่งถามว่า “คุณเคยปวดศีรษะไหม” คงมีไม่กี่คนที่จะตอบได้อย่างมั่นใจว่า "ฉันไม่เคยปวดศีรษะเลยในชีวิต"

      โรคปวดศีรษะเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป จากการศึกษาทางสถิติพบว่า โดยเฉลี่ยผู้ชายร้อยละ 93 และผู้หญิงร้อยละ 99 ต่างเคยมีอาการปวดศีรษะในช่วงชีวิต แม้ว่าอาการปวดศีรษะของคนโดยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อาการปวดศีรษะมีความรุนแรงและเรื้อรังทำให้มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันโดยเฉพาะถ้าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดขึ้นในวัยทำงาน

      สาเหตุของอาการปวดศีรษะมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ โดยในคนสูงอายุจะมีโอกาสเกิดโรคที่มีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเนื้องอกสมอง โรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดอักเสบ มากกว่าวัยรุ่นและวัยทำงานซึ่งมักมีสาเหตุจากโรคไมเกรน โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว และโรคปวดศีรษะจากความเครียด อย่างไรก็ตามในวัยทำงานซึ่งถือว่าเป็นวัยที่มีภาระและความรับผิดชอบสูง หากมีโรคปวดศีรษะมารบกวนการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันก็เหมือนกับฝันร้ายในขณะตื่นเลยทีเดียว

1. โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว
     เป็นโรคปวดศีรษะชนิดที่พบบ่อยที่สุดในวัยทำงาน เราอาจเคยได้ยินบางคนบ่นว่า มีอาการปวด มึนๆ ตึงๆ ที่ศีรษะหลังจากทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือมีความเครียด โดยอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณว่า คุณกำลังมีอาการของ “โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว” ซึ่งเป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุด คำว่า “ตึงตัว” บ่งชี้ถึงลักษณะอาการของโรคปวดศีรษะชนิดนี้ คือ มีลักษณะปวดตึง บีบรัดศีรษะ ลักษณะคล้ายกับนำหมวกคับๆ มาสวม อาการปวดมักพบร่วมกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและหัวไหล่ รวมถึงอาการปวดกระบอกตาและอาการมึนศีรษะ โดยอาการมักบรรเทาได้ด้วยการนวดบริเวณที่ปวดตึง อาการปวดมักมีระดับไม่รุนแรงและไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยต้องพักหรือหยุดงาน อาการปวดมักบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาการปวดจะไม่รุนแรง แต่ผู้ป่วยที่ปล่อยให้เกิดอาการปวดเรื้อรังจะทำให้ยากต่อการรักษาและมีผลต่อสุขภาพจิต นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดเป็นประจำอาจนำไปสู่การติดยาแก้ปวดได้

      เนื่องจากอาการปวดมักมีความสัมพันธ์กับความเครียด ทำให้มีความเชื่อว่าสาเหตุของโรคเกิดจากความเครียด แต่จากการศึกษาพบว่า ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคโดยตรง แต่เป็นเพียงแค่ปัจจัยกระตุ้นเท่านั้น ในปัจจุบันแม้ว่าได้มีการศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุของโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่สามารถบ่งชี้สาเหตุของอาการปวดศีรษะชนิดนี้ได้อย่างแน่ชัด

      การรักษาและการป้องกันโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว ได้แก่ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดโปร่ง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้เนื่องจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและหนังศีรษะมีความเกี่ยวพันกับการนั่งหรือนอนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นการนั่งหรือนอนให้อยู่ในท่าที่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อจึงบรรเทาอาการและป้องกันอาการปวดศีรษะได้ อาการตึงตัวของกล้ามเนื้อสามารถบรรเทาได้ด้วยการนวดหรือการประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกแล้ว ยังลดผลข้างเคียงของยาแก้ปวดได้อีกด้วย


2.“โรคไมเกรน” โรคปวดศีรษะที่พบบ่อยรองลงมา ได้แก่ ถึงแม้ว่าโรคไมเกรนจะเป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้น้อยกว่าโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว แต่ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะที่มีความรุนแรงและมีผลกระทบต่อการทำงานมากกว่า เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ ประสาทสัมผัสของผู้ป่วยไมเกรนจะเพิ่มความไวในการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เสียง แสง กลิ่น ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นยอดต่ออาการปวดศีรษะ ร่างกายต้องพักจากการเคลื่อนไหว เนื่องจากการเคลื่อนไหวจะกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะเลวร้ายมากขึ้น จึงถือได้ว่าไมเกรนเป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างแท้จริง นอกจากนี้โรคไมเกรนยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน หงุดหงิดง่าย การนอนผิดปกติ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงไปอีก

      เนื่องจากโรคไมเกรนมีผลต่อการหดและขยายตัวของหลอดเลือดสมอง ผลของโรคไมเกรนจึงไม่ได้ทำให้เกิดแค่อาการปวดศีรษะเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดสมองตีบหรืออัมพาตอีกด้วย จากการศึกษาโดยนายแพทย์ Markus Schurks จาก Brigham and Women’s Hospital ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา พบว่า ในผู้ป่วยโรคไมเกรนชนิดออร่าเรื้อรัง (ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแสงก่อนหรือขณะปวดศีรษะ) จะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ผลจากการศึกษาทำให้ผู้ป่วยโรคไมเกรนต้องตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาโรคไมเกรนและการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบได้

      หลักการรักษาโรคไมเกรนที่สำคัญที่สุด คือ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการปวดศีรษะซึ่งได้แก่ กลิ่นฉุน แสงจ้า เสียงดัง อากาศหนาวหรือร้อนจนเกินไป นอนผิดเวลา นอนมากหรือน้อยเกินไป ความเครียด อาหารบางชนิด เช่น เนื้อที่ผ่านการถนอมอาหาร เนย เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากอาการปวดศีรษะมีความรุนแรงหรือความถี่มากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการแนะนำและการรักษาในขั้นต่อไปความเครียดกับอาการปวดศีรษะ
ในสภาวะปัจจุบันท่ามกลางสังคมแห่งการแข่งขัน ปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การงาน ปัญหาครอบครัว รวมไปถึงเรื่องการเมือง เป็นบ่อเกิดของความเครียดที่เพิ่มขึ้นในสังคม มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับความเครียด โดยเราได้ยินกันเป็นประจำกับคำว่า “เครียดจนปวดหัว” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คงมีหลายคนสงสัยว่าความเครียดสามารถเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้จริงหรือ และถ้าเรากำจัดความเครียดออกไปได้แล้วอาการปวดศีรษะจะหายหรือไม่
ความเครียดมีความเกี่ยวพันกับอาการปวดศีรษะได้หลายแง่มุม หากความเครียดเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะโดยตรง เรียกโรคปวดศีรษะชนิดนี้ว่า

3. “โรคปวดศีรษะจากความเครียด” อีกกรณีหนึ่งคือความเครียดไม่ได้ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะโดยตรง แต่เป็นเพียง “ปัจจัยกระตุ้น” ให้อาการปวดจากโรคปวดศีรษะชนิดอื่นๆ กำเริบรุนแรงมากยิ่งขึ้น โรคปวดศีรษะที่ความเครียดเป็นตัวกระตุ้น ได้แก่ โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวและโรคปวดศีรษะไมเกรน ในทางการแพทย์การวินิจฉัยแยกโรคปวดศีรษะที่มีความเกี่ยวพันกับความเครียดทั้งสองกรณีออกจากกันมีความสำคัญในแง่การรักษาและการพยากรณ์โรคในระยะยาว

      โรคปวดศีรษะจากความเครียดมีลักษณะการปวดได้หลายชนิด แต่อาการปวดมักไม่รุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตึง มึนศีรษะ หรือบางรายมีอาการปวดตุบๆ เหมือนอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน หลักเกณฑ์ในการให้การวินิจฉัยคือ ผู้ป่วยต้องมีความเครียดในระดับสูงมากพอที่จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาการที่แสดงถึงความเครียดในระดับสูง ได้แก่ กระวนกระวาย อ่อนเพลียง่าย สมาธิสั้น กล้ามเนื้อตึงตัว มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน และมีความเครียดที่ยากต่อการควบคุม การรักษา ได้แก่ ลดปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด หรืออาจพบจิตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการผ่อนคลายความเครียด ซึ่งโรคปวดศีรษะชนิดนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้

      ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียดเป็นตัวกระตุ้น การรักษานอกจากจะลดความเครียดแล้ว ยังต้องรักษาโรคปวดศีรษะที่เป็นอยู่ด้วย เช่น หากเป็นโรคไมเกรนอาจต้องใช้ยารักษาโรคไมเกรนควบคู่ไปกับการลดความเครียด เป็นต้น

4. โรคปวดศีรษะกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ 
ในยุคที่เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานจนเราจินตนาการได้ยากว่าการทำงานโดยปราศจากคอมพิวเตอร์เป็นอย่างไร ในแต่ละวันเราต่างใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กันคนละหลายชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทเนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์

      เมื่อเราจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แสงสว่างของจอมีผลทำให้กล้ามเนื้อตาเกิดการเกร็งตัว นอกจากนี้จอภาพยังมีผลทำให้สมองส่วนการรับภาพต้องทำงานหนักและทำให้เกิดภาวะเครียดและอาการมึนศีรษะตามมา อาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ มึนเวียนศีรษะ ระคายเคืองตา ปวดหรือหนักกระบอกตา การมองพร่ามัว นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในระยะเวลานานมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคต้อหินอีกด้วย

      วิธีการหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ ได้แก่ ปรับความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม โดยทั่วไปความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรเท่ากับความสว่างของสิ่งแวดล้อมที่ทำงาน การใช้ฟิล์มกรองแสงที่หน้าจอหรือการใส่แว่นตาที่มีการเคลือบกันแสงสะท้อนจากหน้าจอ (anti-reflective [AR] coating) การเช็กสายตาอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากปัญหาทางสายตา เช่น สายตาสั้น เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น การบริหารดวงตาโดยการละสายตาจากคอมพิวเตอร์และกลอกตาไปมาเป็นเวลา 10-20 วินาที ทุกๆ 20 นาทีของการใช้คอมพิวเตอร์ การกะพริบตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการตาแห้งและระคายเคืองสายตา เพียงเท่านี้ก็ทำให้การทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ไม่สร้างความเครียดให้สมองและสายตามากนัก

5.โรคปวดศีรษะจากผลของคาเฟอีน
เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม เป็นที่นิยมอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในสังคมมนุษย์ไปแล้ว จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่า ประชากรทั่วไปดื่มกาแฟโดยเฉลี่ยมากถึง 2.5 แก้วต่อวัน ซึ่งคาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องดื่มจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายและสมองเกิดความตื่นตัว ไม่ง่วงนอน กระตุ้นระบบหัวใจและหลอดเลือด มีผลให้ร่างกายทนต่อการทำงานได้มากขึ้น

     ผลของคาเฟอีนต่อสมองและหลอดเลือดมีความเกี่ยวพันกับโรคปวดศีรษะหลายชนิดทั้งในด้านบวกและด้านลบ ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดของคาเฟอีนได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะฉับพลันของโรคไมเกรน แพทย์บางท่านแนะนำว่า เมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน การดื่มกาแฟสักหนึ่งแก้วสามารถทำให้อาการทุเลาได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าคาเฟอีนสามารถระงับอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน แต่การบริโภคคาเฟอีนติดต่อกันเป็นระยะยาว ไม่ว่าจากการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนหรือใช้ยาที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนเป็นประจำ จะทำให้สมองเกิดการดื้อต่อคาเฟอีนและเกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาต้านไมเกรน ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคไมเกรนหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ หากบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมากยังมีผลทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย สมาธิสั้น ซึ่งทำให้กระตุ้นโรคปวดไมเกรนและโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวทางอ้อมอีกด้วย

      นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนเป็นระยะเวลานาน ร่างกายและสมองจะเกิดการปรับตัวให้เกิดภาวะติดคาเฟอีน ซึ่งทำให้เมื่อหยุดดื่มคาเฟอีนจะมีอาการปวดศีรษะ เรียกโรคปวดศีรษะชนิดนี้ว่า “โรคปวดศีรษะจากการขาดคาเฟอีน” (caffeine withdrawal headache) โดยโรคปวดศีรษะจากการขาดคาเฟอีนจะเกิดขึ้นในคนที่บริโภคคาเฟอีนอย่างน้อย 200 มิลลิกรัมต่อวัน (ปริมาณเท่ากับกาแฟ 2 แก้ว หรือชา 4 แก้ว) ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ทุเลาเมื่อระยะเวลาผ่านไปหลังหยุดบริโภคคาเฟอีนเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์

     เนื่องจากอาการปวดศีรษะที่พบได้ในวัยทำงานมีความหลากหลาย สิ่งที่สำคัญคือการสังเกตและเอาใจใส่ต่ออาการและสภาพแวดล้อมที่อาจมีส่วนกระตุ้นอาการปวดศีรษะ การละเลยที่จะค้นหาถึงสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่แท้จริงและทำให้การรักษาล่าช้าตั้งแต่ระยะแรก อาจทำให้โรคปวดศีรษะมีความยากต่อการรักษา และหลายคนอาจต้องบ่นออกมาว่า “รู้อย่างนี้ รักษาตั้งแต่แรกก็ดี” ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวัยทำงานและกำลังมีอาการปวดศีรษะ คุณได้สำรวจอาการปวดศีรษะของคุณแล้วหรือยัง