วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติของเก่าจนต้องเลิกใช้ ติของใหม่จนใช้ไม่ได้



ดร.บวร ปภัสราทร
ไม่มีงานใดในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ ถ้าเริ่มต้นการทำงานด้วยการติเตียนวิธีการทำงานดั่งเดิม

ด้วยความตั้งใจลึกๆ ว่าจะเปิดทางให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นตามแนวทางที่ตนเองเห็นว่าดีกว่าเดิม มักจะลงท้ายว่าทำงานตามวิธีเดิมต่อไปไม่ได้ ในขณะที่ไม่สามารถหาวิธีใหม่มาทดแทนได้ เพราะติจนของเก่าไม่เหลือความดีอยู่เลย ในขณะที่คนอื่นก็หาเรื่องติของใหม่จนเริ่มต้นใช้งานไม่ได้เหมือนกัน ติของเก่ามากเท่าใด คนชื่นชมของเก่าก็ตั้งป้อมเล่นงานของใหม่มากเท่านั้น วิธีทำงานดั่งเดิมนั้นจะย่ำแย่อย่างไรก็ยังมีคนพออกพอใจอยู่ดี เพราะคุ้นเคยกับของเก่าและกลัวการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นด้วยการเล่นงานของเก่าจะจบลงด้วยไม่มีของใหม่


หลายคนเข้าใจไปเองว่าการติเตียนคือส่วนหนึ่งของการทำงาน เพราะเห็นคนได้ดิบได้ดีจากการติเตียนผลงานของคนอื่น อาการนี่เกิดขึ้นได้มากในสังคมที่ให้ปากเป็นเอก เลขเป็นโท พูดเก่งได้ดี ทำเก่งไม่แน่ว่าจะได้ดี แต่ถ้าลองย้อนคิดกันดีๆ จะนึกได้ว่าใครจะติกันเก่งแค่ไหนก็ตาม งานก็ไม่มีวันเสร็จสิ้นลงไปได้ถ้าไม่เริ่มลงมือทำ การติเตียนจึงไม่ใช่การทำงาน เพราะทำงานแล้วต้องมีผลงานเกิดขึ้น การติเตียนโดยปราศจากข้อเสนอแนะไม่มีทางทำให้งานเดินหน้าไปได้ ถ้าตกอยู่ในสภาพที่รอบตัวเริ่มต้นทุกเรื่องด้วยการตำหนิติเตียนกัน จะลงมือทำงานใดขอให้วางใจให้เป็นกลางก่อนรับทราบคำติเตียนต่างๆ ที่หลั่งไหลมาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น แล้วพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมจึงมีคำติเตียนนั้นเกิดขึ้นได้ 
 
ปรากฏกันอยู่เสมอว่าที่ติทั้งเก่าทั้งใหม่นั้นไม่ได้มาจากวิธีทำงานหรือประเด็นอื่นใดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานนั้น แต่ต้นเหตุจริงๆ มาจากตัวคนที่ยกสารพัดเรื่องมาติเตียนกัน ติเพราะไม่ถูกใจคนทำงานมากกว่าไม่ชอบใจวิธีทำงาน แต่ใช้วิธีตีวัวกระทบคราด แทนที่จะบอกกันไปตรงๆ ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในบางวัฒนธรรมที่บอกกล่าวอะไรกันตรงๆ ไม่ได้ เลยเกิดเป็นวิธีการปฏิบัติที่ว่าไม่ชอบใครให้ติงานของคนนั้นไว้ก่อน ถ้าคำติเตียนที่ได้ยินได้ฟังมาเข้าข่ายนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนยกเลิกวิธีการทำงานดั่งเดิม หรือไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจว่าต้องหาวิธีใหม่มาทดแทนวิธีใหม่ที่เพิ่งจะเสนอกันมาแต่โดนติเตียนเสียจนดูเหมือนไม่เหลืออะไรดีพอที่จะนำมาใช้ได้ ถ้าเราเข้าใจความจริงนี้แล้วทั้งของเก่าของใหม่ก็ใช้ได้ทั้งสิ้นสำหรับที่จะเริ่มต้นเดินหน้าทำงานต่อไป แต่อย่าเผลอไปยกย่องวิธีการทำงานผิดที่ผิดทาง ทำงานอยู่สักพักก็จะเห็นชัดเจนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ใครมาติของเก่าให้ฟังก็รับฟังเข้าหูซ้ายแล้วปล่อยออกหูขวา ไม่ต้องออกความคิดความเห็นใด เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าติงานเพราะต้องการติคน ไม่ใช่ติงานเพราะงานย่ำแย่อย่างที่ว่ากล่าวกัน
 
ถ้ามีข้อมูลที่เป็นความจริงที่ยืนยันได้ว่าวิธีการทำงานดั่งเดิมนั้นหมดสมัยแล้วจริงๆ แต่ตกอยู่ในสภาพที่แวดล้อมไปด้วยนักติชั้นเซียน คงต้องพิจารณาดูว่าที่นักติทั้งหลายว่ากล่าววิธีการใหม่ที่จะมาใช้ทดแทนของเก่าที่หมดสมัยไว้นั้นมีแต่การบอกกล่าวว่าของใหม่ไม่ดีตรงนั้นตรงนี้ หรือมีคำแนะนำทางออกไว้ด้วย ถ้ามีแต่ว่าไม่ดีแต่ไม่มีข้อเสนอว่าถ้าจะให้ดีต้องทำอย่างไร ก็ให้ละเลยคำติเตียนนั้นไปได้เลย เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ วิธีใหม่ที่เสนอกันว่าจะมาทดแทนวิธีการเก่าที่เรามั่นใจด้วยข้อมูลว่าหมดสมัยแล้วจริงๆ ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เรายอมเดินหน้ากับวิธีการที่โดนติสารพัดจากนักติมืออาชีพ ดีกว่าติดอยู่กับที่เดินหน้าด้วยวิธีเก่าก็ถูกติ เดินหน้าด้วยวิธีใหม่ก็กลัวจะถูกติอีก งานก็ไม่เดินหน้าไปไหนเสียที สุดท้ายตัวเราเองก็จะกลายเป็นของการติไปด้วยเพราะเมื่อเวลาผ่านไปไม่มีอะไรเดินหน้าไปได้สักอย่าง นักติชั้นเซียนนั้นอยู่ว่างไม่ได้ เป้าต่อไปจะเปลี่ยนจากของใหม่มาเป็นคนทำงานที่เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังไม่ได้เพราะกลัวถูกติซึ่งในที่สุดก็หนีไม่พ้นการถูกติเตียนจากมืออาชีพไปจนได้ ระลึกได้เช่นนี้แล้วขอให้เดินหน้าทำงานด้วยวิธีการที่โดนติเตียนอย่างไม่สร้างสรรค์นั้นให้มีผลงานขึ้นมาให้ได้โดยเร็ว แต่ไม่ต้องตั้งความหวังว่างานสำเร็จแล้วจะไม่โดนตำหนิ เพียงแต่คราวนี้จะติอย่างไรก็ไม่เป็นไรเพราะผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ผู้คนได้ประจักษ์แล้วว่าความจริงที่ถูกบิดเบือนจากคำตำหนินั้นเป็นอย่างไร ระลึกไว้เสมอว่าถูกติตอนที่มีผลงานนั้นดีกว่าถูกติตอนไร้ผลงาน
 
การสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ตัวเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการติเตียนจนของเก่าใช้ต่อไม่ได้ ของใหม่ก็เริ่มใช้ไม่ได้นั้นมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเดินหน้าทำงานด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ ถ้าเราหลอกตัวเราเองให้หลงอยู่ในกระบวนการตำหนินิยมนี้โดยไม่รู้ตัวแล้วยากนักที่จะเดินหน้าทำงานไปได้ จะทำอะไรก็เห็นแต่ข้อเสียกีดขวางไปหมด จะเริ่มต้นทำงานก็กลายเป็นเริ่มต้นหาเรื่องที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ดังนั้นถ้ามั่นใจแน่ๆ ว่าเรายังไม่ได้หลงอยู่ในวังวนของตำหนินิยมยามใดที่ได้ยินได้ทราบคำติเตียนใดๆ ให้หาแหล่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดการติเตียนนั้นว่ามาจากไหน ถ้ามาจากวิธีการทำงานดั่งเดิมที่ย่ำแย่ แหล่งขับเคลื่อนคือข้อมูลที่ยืนยันความย่ำแย่นั้น ถ้าของเก่าแย่จริงต้องพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูล ถ้าของใหม่แย่จริงจะพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูลความล้มเหลวของคนอื่นที่ได้ใช้วิธีการนั้นมาก่อนเรา ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าความย่ำแย่นั้นมีจริง อย่ารีบร้อนหมดหวังกับของเก่า และอย่าสิ้นหวังกับของใหม่ แต่ให้มั่นใจว่าหนทางให้เดินหน้าทำงานได้ยังมีอยู่
 
เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นกับวิธีการเก่าที่เราเชื่อว่ายังใช้ได้ หรือวิธีการใหม่ที่จะเป็นหนทางทดแทนวิธีการเก่าที่เราพิสูจน์ได้ว่าตกยุคไปแล้วให้ลองมองย้อนทิศกลับจากคำติเตียนที่ได้ยินได้ฟัง ลองหาว่าข้อดีของวิธีการที่เราเชื่อนั้นมีอะไรบ้าง ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เลวไปหมดจนหาที่ดีไม่ได้ ลองหาข้อดีดูสักพักถ้าเริ่มเห็นว่าที่ติเตียนกันมานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย มีโอกาสเกิดขึ้นได้หนึ่งในล้านหนึ่งในพันล้าน แสดงว่าเรามีหนทางเดินหน้าทำงานโดยมีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวไม่มากเหมือนกับที่ติเตียนกันไว้ ลองนึกต่อไปว่าวิธีการที่เราเชื่อนั้นช่วยป้องกันความล้มเหลวให้เราได้อย่างไรบ้าง ถ้าวิธีที่นักติทั้งหลายบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้แต่กลับมีหนทางให้เรารอดจากความล้มเหลวได้ แถมยังเดินหน้าทำงานต่อไปได้อีกด้วย แล้วจะมีอะไรอีกเล่าที่จะทำให้เราไม่กล้าเดินหน้าไปกับการทำงานตามวิธีที่เราเชื่อนอกจากกลัวว่าทำแล้วจะมีคนมาติเตียน กลัวถูกติเตียนได้แต่ต้องกลัวอย่างมุ่งมั่นที่จะทำให้งานเดินหน้าได้ อย่ากลัวแบบที่จะพยายามอยู่เฉยๆ มากกว่าที่จะเดินหน้าทำงาน ยุคของการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ดีนั้นกลายเป็นยุคอดีตไปแล้ว

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ จากวิกรม กรมดิษฐ์ !!!







ต้องบอกว่าประเทศไทยเปิดศักราชปีเสือไม่โสภา เมื่อ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ระบุว่าไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนเหมือนที่ผ่านมาในสายตาของ นักลงทุนญี่ปุ่น ทำให้คิดถึงความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครที่เคยพูดถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ

1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะ ห
น้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีม เวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง + อ่อนเพลีย





18 คำตอบ เวลาที่คุณรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นอีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้ โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา

1. ใช้โทรศัพท์มากเกินไป คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า Phone-Fatigue ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำ หรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน   ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย 

2. ความดันเลือดต่ำ ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุบปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ 

3. เล่นเน็ตดึกเกินไป ฮอร์โมนเมลาโตนิน ( Melatoni n) จะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า 

4. กินอาหารไม่เต็มที่ การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้นที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุ ณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย 

5. ไม่ออกกำลัง นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่า คนที่ไม่ออกกำลังเลยประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไปให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม   คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4 – 5 จานต่อวันจะออกกำลังได้อย่างสบายๆ



6. อิทธิพลของเดือนเกิด ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลัง ให้กับคนประเภทแรก 

7. กรามแข็ง คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่า โรค TMJ (TemporomandiBular Joint Disorder) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลีย และปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์ 

8. ธรณีหน้าต่างสกปรก จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า 

9. ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดด เป็นประจำเมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มี ไรฝุ่น 

10. เชื่องช้า งุ่มง่าม ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน 



11. อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขาให้จินตนาการว่า คุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกันก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้ 

12. อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า ให้เสียบปลั๊กตัว แปลงขั้วไฟฟ้าเพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ 

13. ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่าผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่ม กาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย 

14. บ้าน รก ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้



15. ร่างกายมีปัญหา แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิงสัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่ อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆ อาจ รวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อย และความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บ หน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอล สูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ 

16.   กลั้นหาว การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของ กรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้ และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขึ้น 

17. ใช้ชีวิตตามตาราง ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้าง คือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขา ทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่า คนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ 

18.   หมอนเก่าเกินไป ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วย ถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้ว