วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติของเก่าจนต้องเลิกใช้ ติของใหม่จนใช้ไม่ได้



ดร.บวร ปภัสราทร
ไม่มีงานใดในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ ถ้าเริ่มต้นการทำงานด้วยการติเตียนวิธีการทำงานดั่งเดิม

ด้วยความตั้งใจลึกๆ ว่าจะเปิดทางให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นตามแนวทางที่ตนเองเห็นว่าดีกว่าเดิม มักจะลงท้ายว่าทำงานตามวิธีเดิมต่อไปไม่ได้ ในขณะที่ไม่สามารถหาวิธีใหม่มาทดแทนได้ เพราะติจนของเก่าไม่เหลือความดีอยู่เลย ในขณะที่คนอื่นก็หาเรื่องติของใหม่จนเริ่มต้นใช้งานไม่ได้เหมือนกัน ติของเก่ามากเท่าใด คนชื่นชมของเก่าก็ตั้งป้อมเล่นงานของใหม่มากเท่านั้น วิธีทำงานดั่งเดิมนั้นจะย่ำแย่อย่างไรก็ยังมีคนพออกพอใจอยู่ดี เพราะคุ้นเคยกับของเก่าและกลัวการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นด้วยการเล่นงานของเก่าจะจบลงด้วยไม่มีของใหม่


หลายคนเข้าใจไปเองว่าการติเตียนคือส่วนหนึ่งของการทำงาน เพราะเห็นคนได้ดิบได้ดีจากการติเตียนผลงานของคนอื่น อาการนี่เกิดขึ้นได้มากในสังคมที่ให้ปากเป็นเอก เลขเป็นโท พูดเก่งได้ดี ทำเก่งไม่แน่ว่าจะได้ดี แต่ถ้าลองย้อนคิดกันดีๆ จะนึกได้ว่าใครจะติกันเก่งแค่ไหนก็ตาม งานก็ไม่มีวันเสร็จสิ้นลงไปได้ถ้าไม่เริ่มลงมือทำ การติเตียนจึงไม่ใช่การทำงาน เพราะทำงานแล้วต้องมีผลงานเกิดขึ้น การติเตียนโดยปราศจากข้อเสนอแนะไม่มีทางทำให้งานเดินหน้าไปได้ ถ้าตกอยู่ในสภาพที่รอบตัวเริ่มต้นทุกเรื่องด้วยการตำหนิติเตียนกัน จะลงมือทำงานใดขอให้วางใจให้เป็นกลางก่อนรับทราบคำติเตียนต่างๆ ที่หลั่งไหลมาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น แล้วพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมจึงมีคำติเตียนนั้นเกิดขึ้นได้ 
 
ปรากฏกันอยู่เสมอว่าที่ติทั้งเก่าทั้งใหม่นั้นไม่ได้มาจากวิธีทำงานหรือประเด็นอื่นใดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานนั้น แต่ต้นเหตุจริงๆ มาจากตัวคนที่ยกสารพัดเรื่องมาติเตียนกัน ติเพราะไม่ถูกใจคนทำงานมากกว่าไม่ชอบใจวิธีทำงาน แต่ใช้วิธีตีวัวกระทบคราด แทนที่จะบอกกันไปตรงๆ ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในบางวัฒนธรรมที่บอกกล่าวอะไรกันตรงๆ ไม่ได้ เลยเกิดเป็นวิธีการปฏิบัติที่ว่าไม่ชอบใครให้ติงานของคนนั้นไว้ก่อน ถ้าคำติเตียนที่ได้ยินได้ฟังมาเข้าข่ายนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนยกเลิกวิธีการทำงานดั่งเดิม หรือไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจว่าต้องหาวิธีใหม่มาทดแทนวิธีใหม่ที่เพิ่งจะเสนอกันมาแต่โดนติเตียนเสียจนดูเหมือนไม่เหลืออะไรดีพอที่จะนำมาใช้ได้ ถ้าเราเข้าใจความจริงนี้แล้วทั้งของเก่าของใหม่ก็ใช้ได้ทั้งสิ้นสำหรับที่จะเริ่มต้นเดินหน้าทำงานต่อไป แต่อย่าเผลอไปยกย่องวิธีการทำงานผิดที่ผิดทาง ทำงานอยู่สักพักก็จะเห็นชัดเจนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ใครมาติของเก่าให้ฟังก็รับฟังเข้าหูซ้ายแล้วปล่อยออกหูขวา ไม่ต้องออกความคิดความเห็นใด เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าติงานเพราะต้องการติคน ไม่ใช่ติงานเพราะงานย่ำแย่อย่างที่ว่ากล่าวกัน
 
ถ้ามีข้อมูลที่เป็นความจริงที่ยืนยันได้ว่าวิธีการทำงานดั่งเดิมนั้นหมดสมัยแล้วจริงๆ แต่ตกอยู่ในสภาพที่แวดล้อมไปด้วยนักติชั้นเซียน คงต้องพิจารณาดูว่าที่นักติทั้งหลายว่ากล่าววิธีการใหม่ที่จะมาใช้ทดแทนของเก่าที่หมดสมัยไว้นั้นมีแต่การบอกกล่าวว่าของใหม่ไม่ดีตรงนั้นตรงนี้ หรือมีคำแนะนำทางออกไว้ด้วย ถ้ามีแต่ว่าไม่ดีแต่ไม่มีข้อเสนอว่าถ้าจะให้ดีต้องทำอย่างไร ก็ให้ละเลยคำติเตียนนั้นไปได้เลย เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ วิธีใหม่ที่เสนอกันว่าจะมาทดแทนวิธีการเก่าที่เรามั่นใจด้วยข้อมูลว่าหมดสมัยแล้วจริงๆ ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เรายอมเดินหน้ากับวิธีการที่โดนติสารพัดจากนักติมืออาชีพ ดีกว่าติดอยู่กับที่เดินหน้าด้วยวิธีเก่าก็ถูกติ เดินหน้าด้วยวิธีใหม่ก็กลัวจะถูกติอีก งานก็ไม่เดินหน้าไปไหนเสียที สุดท้ายตัวเราเองก็จะกลายเป็นของการติไปด้วยเพราะเมื่อเวลาผ่านไปไม่มีอะไรเดินหน้าไปได้สักอย่าง นักติชั้นเซียนนั้นอยู่ว่างไม่ได้ เป้าต่อไปจะเปลี่ยนจากของใหม่มาเป็นคนทำงานที่เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังไม่ได้เพราะกลัวถูกติซึ่งในที่สุดก็หนีไม่พ้นการถูกติเตียนจากมืออาชีพไปจนได้ ระลึกได้เช่นนี้แล้วขอให้เดินหน้าทำงานด้วยวิธีการที่โดนติเตียนอย่างไม่สร้างสรรค์นั้นให้มีผลงานขึ้นมาให้ได้โดยเร็ว แต่ไม่ต้องตั้งความหวังว่างานสำเร็จแล้วจะไม่โดนตำหนิ เพียงแต่คราวนี้จะติอย่างไรก็ไม่เป็นไรเพราะผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ผู้คนได้ประจักษ์แล้วว่าความจริงที่ถูกบิดเบือนจากคำตำหนินั้นเป็นอย่างไร ระลึกไว้เสมอว่าถูกติตอนที่มีผลงานนั้นดีกว่าถูกติตอนไร้ผลงาน
 
การสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ตัวเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการติเตียนจนของเก่าใช้ต่อไม่ได้ ของใหม่ก็เริ่มใช้ไม่ได้นั้นมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเดินหน้าทำงานด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ ถ้าเราหลอกตัวเราเองให้หลงอยู่ในกระบวนการตำหนินิยมนี้โดยไม่รู้ตัวแล้วยากนักที่จะเดินหน้าทำงานไปได้ จะทำอะไรก็เห็นแต่ข้อเสียกีดขวางไปหมด จะเริ่มต้นทำงานก็กลายเป็นเริ่มต้นหาเรื่องที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ดังนั้นถ้ามั่นใจแน่ๆ ว่าเรายังไม่ได้หลงอยู่ในวังวนของตำหนินิยมยามใดที่ได้ยินได้ทราบคำติเตียนใดๆ ให้หาแหล่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดการติเตียนนั้นว่ามาจากไหน ถ้ามาจากวิธีการทำงานดั่งเดิมที่ย่ำแย่ แหล่งขับเคลื่อนคือข้อมูลที่ยืนยันความย่ำแย่นั้น ถ้าของเก่าแย่จริงต้องพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูล ถ้าของใหม่แย่จริงจะพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูลความล้มเหลวของคนอื่นที่ได้ใช้วิธีการนั้นมาก่อนเรา ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าความย่ำแย่นั้นมีจริง อย่ารีบร้อนหมดหวังกับของเก่า และอย่าสิ้นหวังกับของใหม่ แต่ให้มั่นใจว่าหนทางให้เดินหน้าทำงานได้ยังมีอยู่
 
เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นกับวิธีการเก่าที่เราเชื่อว่ายังใช้ได้ หรือวิธีการใหม่ที่จะเป็นหนทางทดแทนวิธีการเก่าที่เราพิสูจน์ได้ว่าตกยุคไปแล้วให้ลองมองย้อนทิศกลับจากคำติเตียนที่ได้ยินได้ฟัง ลองหาว่าข้อดีของวิธีการที่เราเชื่อนั้นมีอะไรบ้าง ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เลวไปหมดจนหาที่ดีไม่ได้ ลองหาข้อดีดูสักพักถ้าเริ่มเห็นว่าที่ติเตียนกันมานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย มีโอกาสเกิดขึ้นได้หนึ่งในล้านหนึ่งในพันล้าน แสดงว่าเรามีหนทางเดินหน้าทำงานโดยมีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวไม่มากเหมือนกับที่ติเตียนกันไว้ ลองนึกต่อไปว่าวิธีการที่เราเชื่อนั้นช่วยป้องกันความล้มเหลวให้เราได้อย่างไรบ้าง ถ้าวิธีที่นักติทั้งหลายบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้แต่กลับมีหนทางให้เรารอดจากความล้มเหลวได้ แถมยังเดินหน้าทำงานต่อไปได้อีกด้วย แล้วจะมีอะไรอีกเล่าที่จะทำให้เราไม่กล้าเดินหน้าไปกับการทำงานตามวิธีที่เราเชื่อนอกจากกลัวว่าทำแล้วจะมีคนมาติเตียน กลัวถูกติเตียนได้แต่ต้องกลัวอย่างมุ่งมั่นที่จะทำให้งานเดินหน้าได้ อย่ากลัวแบบที่จะพยายามอยู่เฉยๆ มากกว่าที่จะเดินหน้าทำงาน ยุคของการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ดีนั้นกลายเป็นยุคอดีตไปแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น