วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าของลูกผู้ชายชาวจีนคนหนึ่ง‏


โดย krusader


ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ เคยอ่านมารึยัง ถึงจะยาวหน่อย แต่เนื้อหาดีมากๆเลยนะ

เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายชาวจีนคนหนึ่ง
ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นต้องมีภารกิจเดินทาง และตั้งถิ่นฐานอยู่ไกลจากพ่อแม่
แต่ก็มักติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับแม่อยู่เสมอ...

แม่มักจะบอกเขาว่า “ไม่ต้องห่วงแม่” ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ 
เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง...
ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่า แม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนึง ที่แม่มีอายุครบ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่
โดยตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยสัก 1 เดือน ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว

พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ
แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก
แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม
แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ
รื้อเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...
สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย...

พอลูกกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน 
เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง
แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น
ช่างไม่เหมือนแม่ คนก่อนหน้านี้เลย...

แม่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ
โดยที่หาทราบไม่ว่า ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว
และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด
บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ
ไม่สบายกายเลย...แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์ 
และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว
แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก 
แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 
กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า 
ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้วแม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม


“เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา 
อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม 
ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด 
ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน 
แม่ก็โวยวายว่าแม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย 
ผมเลยพูดไม่ออกพอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน 
พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...”

“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน 
ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว 
แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ 
ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ 
และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้นแต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ 
แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย – 
โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ”

“ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ 
แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมาในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก 
แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก 
ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้
ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า 
อยู่นอกบ้านนอกเมืองต้องระวังตัวให้มากๆ 
ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย 
แม่เป็นห่วงมาก 
ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไรตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”

แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบากวางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง 
มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจเพราะผมไม่อยากนำกลับไป 
มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก 
แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย
อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้ 
ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา 
แม่รีบเอื้อมไปหยิบแต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม 
แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร 
ขอผมดูหน่อยนะ”แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง 
จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้นแล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที


ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง”
ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 
เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกทีบทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก 
ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นทันที ....


เมื่อฉันแก่ตัวลง.....ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน
มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

ถ้าฉันทำน้ำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง....ถ้าฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
ขอให้คิดถึงตอนเธอเด็กๆ...ที่ฉันสอนเธอหัดทำทุกอย่าง

ถ้าฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ….ขอให้อดทนสักนิด
อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย

ถ้าฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆได้ไหม
ฉันต้องทั้งกอดทั้งปลอบเพื่อให้....เธอยอมอาบน้ำ

ถ้าฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆโปรดอย่าหัวเราะเยาะฉัน….
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม
“ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

ถ้าฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอ....จงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่โปรดให้เวลาฉันคิดสักนิด
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว.....กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน......ฉันก็พอใจแล้ว

ตอนนี้ถ้าเธอเห็นฉันแก่ตัวลง...ไม่ต้องเสียใจ...ขอให้เข้าใจฉัน....สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้อะไรใหม่ๆ

ในตอนนั้น....ฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้....ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางของชีวิต……
โปรด....ให้ความรักและความอดทนต่อ....ฉัน

ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ....
ในแววตาอันฝ้าฟางของฉัน....มีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้
ของฉันที่มีให้กับ..........เธอ

ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที.... เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ 
ตอนนั้นแม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้วจึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป 
ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง
ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว 
จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้รู้สึกแม่จะดีใจมากเหมือนกับว่า

หนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผมและเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น

ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่งแม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว

หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ
“เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป

ตอนนี้ ผมขออุทิศบทความนี้ 
ให้กับลูกๆทั้งที่พเนจรและไม่ได้พเนจรทั้งหลาย...ถ้ามีเวลาว่างก็แวะไปหาท่าน

หรือไม่ก็โทรไปหาท่านบ้าง บอกท่านว่าคุณอยากกินอาหารที่ท่านทำเสมอ.... 
ท่านไม่ได้ต้องการอะไรจากเรามากไปกว่า..

.แค่ได้รับรู้ว่า 
เราสุขสบายดี..ถ้าหากเราไม่สามารถไปเยี่ยมท่านได้....ตอนคุยโทรศัพท์กับท่าน...

โปรดยิ้มให้กว้างๆและยิ้มบ่อยๆ...แม้ท่านจะมองไม่เห็น..แต่ท่านจะรู้สึกได้......

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สนิมชีวิต

 สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์



"ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมคณาจารย์ว่า ต้องใส่ใจดูแลลูกศิษย์ให้ดี 
ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ 
ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์ 
ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า 50% ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยกลับมาช่วยเหลือสนับสนุนมหาวิทยาลัย 
ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่าไปเอาเรื่องเขา เพราะต่อไปพวกเขาจะเติบโตไปเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ 
ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วลาออกไปก่อนก็ต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบิล เกตต์ และสตีฟ จ๊อบส์ในอนาคต!"
(เรื่องขำขันเสียดสีจากอินเตอร์เน็ตจีน)

เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำนวนกำลังภายในบรรยายความรู้สึกว่า
"หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้" เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวนขมขื่นยิ่งนัก ที่ระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสมกับการลงทุนและเวลาที่เสียไป

คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก จนมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อ แต่ปรากฏว่ายิ่งเรียนสูงเท่าใดยิ่งห่างไกลจากการเป็น "ผู้สร้างธุรกิจ" 

ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวัติของนักธุรกิจใหญ่ระดับแนวหน้าในประเทศไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีใบปริญญาหรือร่ำเรียนสูงสักเท่าไร 

ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลงตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเกินกว่าปรกติ ถ้าจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งจะอาการหนักมากขึ้น เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมากกว่าคุณค่าของผู้อื่น ภาษาชาวบ้านเรียกอาการนี้ว่า "อีโก้จัด" แต่ผมอยากเรียกว่าเป็นอาการ "สนิมจับ" น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า

สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโตในชีวิตของแต่ละคน เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการหรือตำแหน่งบริหารในองค์กร ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะได้ประโยชน์มาห้อมล้อมและแซ่ซ้องสรรเสริญอยู่ทุกเมื่อเชื​่อวัน ซึ่งเรื่องที่ถูกยกยอปอปั้นนั้นก็มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง แต่ผู้ถูกสรรเสริญก็จะชอบฟังทั้งจริงทั้งเท็จ เพราะฟังแล้วไพเราะเพราะพริ้งยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้เกิดสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็กเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นานวันเข้าสนิมก็พอกพูนจนบดบังเนื้อแท้จนหมดสิ้นเหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นตัวเองและโลกที่แท้จริง จึงปล่อยตัวเองถลำลึกสู่ความเสื่อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขรอะเช่นนี้ยังมีบุญอยู่ เขาก็จะยังเสวยสุขต่อไปได้อีกระยะ ยังสามารถขยายอาณาจักรเพิ่มเติมไปได้ด้วยพลังที่เหลืออยู่ จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูกใครขัดใจไม่ได้อีกต่อไป ถ้าใครขวางทางของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือเจตนาอย่างไร เขาก็จะบันดาลโทสะและถือผู้นั้นเป็นศัตรูที่ต้องตอบแทนให้สาสม เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งหายนะมาเยือน

ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีวิต จึงต้องหมั่นฝึกจิตให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ อาจต้องพกกระดาษทรายติดตัวไว้เตือนสติตนเองว่า พร้อมจะขัดถูสนิมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ธรรมดา ก็จงมองไปยังบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะได้เห็นว่าเรายังห่างไกลจากท่านเหล่านั้นเหลือเกิน มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือนมดเล็กๆ ตัวหนึ่งท่ามกลางมดเป็นล้านๆ ตัว ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเราก็เล็กกว่าฝุ่นละออง เป็นเพียงเศษธุลีบนดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น และหากจะเปรียบกับความยืนยาวของประวัติศาสตร์หรืออายุของกาแล็คซี่ ชีวิตหนึ่งของเรานี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล่าว เราจึงพึงให้เกียรติเพื่อนมนุษย์เสมอหน้ากันไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งสูงต่ำอย่​างไรก็ตาม ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติจากเราด้วยความสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เพราะโดยแก่นแท้แล้ว เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสารด้​วยกันทั้งสิ้น

ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็งแกร่งไม่ผุกร่อนโดยง่าย สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงจนกว่าจะก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกลางเวทีให้ผู้คนสมน้ำหน้า ก่อนที่ละครชีวิตจะปิดฉากลง...

(บทความจาก CEO ซีพี ออลล์)

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำบุญให้เป็น..จึงเป็นสุข




ทำบุญให้เป็น..จึงเป็นสุข
หลวงพ่อชา สุภัทโท 



....ธรรมดาของเรานะ เวลาจะย้อมผ้า ก็จะต้องทำผ้าของเราให้สะอาดเสียก่อน อันนี้ไม่อย่างนั้นสิ เราไปเที่ยวตลาด เห็นสีมันสวย ๆ ก็นึกว่าสีนั้นสวยดี เราจะย้อมผ้าละ ไม่ดูผ้าของเรา จับสีขึ้นมา เห็นสีสวย ๆ ก็จะเอามาย้อมผ้าอย่างนั้นแหละ เอามาถึงก็เอามาย้อมเลย ผ้าของเรายังไม่ได้ฟอก ไม่สะอาด มันก็ยิ่งขี้เหร่ไปกว่าเก่าเสียแล้ว เราคิดดูซิ กลับไปนี่ เอาผ้าเช็ดเท้าไปย้อมไม่ต้องซัก ละนะ จะดีไหมน่ะ?

ผ้าสกปรกไม่ฟอก แต่อยากจะรับน้ำย้อมนะ นี่มันเป็นอย่างนั้น คำสอนของพระท่านพูดไปโดยตรง ง่าย ๆ แต่มันยากกับคนที่จะต้องปฏิบัติ มันยากเพราะคนไม่รู้ เพราะคนรู้ไม่ถึง มันจึงยาก ถ้าคนรู้ถึงแล้ว มันก็ง่ายขึ้นนะ อาตมาเคยสอนว่าเหมือนกันกะรู มีรูอันหนึ่ง ถ้าเราเอา มือล้วงเข้าไปไม่ถึงก็นึก ว่ารูนี้ มันลึกทุกคนตั้งร้อยคนพันคนนึกว่ารูมันลึก ก็เลยไปโทษรูว่ามันลึกเพราะล้วงไปไม่ถึง คนที่จะว่าแขนเราสั้นไม่ค่อยมี ร้อยก็ทั้งร้อยว่ารูมันลึกทั้งนั้น คนที่จะว่าไม่ใช่ แขนเรามันสั้น ไม่ค่อยมีคนแสวงหาบุญเรื่อยๆไป วันหลังต้องมาแสวงหาการละบาปกันเถอะไม่ค่อยจะมี นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ คำสอนของพระท่านบอกไว้สั้นๆแต่คนเรามันผ่านไปๆ ฉะนั้นวัดป่าพงมันจึงเป็นเมืองผ่าน ธรรมะก็จึงเป็นเมืองผ่านของคน

สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่กระทำบาปทั้งปวงนั่นน่ะ เอตัง พุทธานะสาสะนัง เป็นคำสอนของพระ อันนี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา แต่เราข้ามไปโน้น เราไปเอาอย่างนี้ การละบาปทั้งปวง น้อยใหญ่ทางกายวาจาใจน่ะเป็นเลิศประเสริฐแล้ว เอตัง พุทธานะสานะนัง อันนี้เป็นคำสอนของพระ อันนี้เป็นตัวศาสนา อันนี้เป็นคำสั่งสอนที่แท้จริง

ดูซิ นี่ละ พระพุทธเจ้าท่านสอนกันอย่างนี้ เราข้ามกันไปหมด พากันทำบุญ แต่ว่าไม่พากันละบาป ก็เท่ากับว่ารูมันลึก ใครๆก็ว่ามันลึก ตั้งร้อยตั้งพันก็ว่ารูมันลึก คนจะว่าแขนมันสั้นนะไม่ค่อยจะมี มันต้องกลับ ธรรมะต้องถอยหลังกลับมาอย่างนี้ ถึงจะมองเห็นธรรมะ มันต้องมุ่งหน้ากันไปอย่างนี้

บางทีก็พากันไปแสวงหาบุญกัน ไปรถบัสคันใหญ่ ๆ สองคัน สามคัน พากันไป ไปกันบางทีทะเลาะกันเสียบนรถก็มี บางทีกินเหล้าเมากันบนรถก็มี ถามว่าไปทำไมไปแสวงบุญกัน ไปแสวงหาบุญ ไปเอาบุญ แต่ไม่ละบาป ก็ไม่เจอบุญกันสักที

มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ อันนี้มันอยู่อย่างนี้ มันจะสะดุดเท้าเราใช่ไหม ให้มองดูใกล้ ๆ มองดูตัวเรา พระพุทธเจ้าท่าน ให้มองดูตัวเรา ให้สติสัมปชัญญะอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ท่านสอนอย่างนี้ บาปกรรมทำชั่วทั้งหลาย มันเกิดขึ้นทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ บ่อเกิดของบาปบุญคุณโทษก็คือ กาย วาจา ใจ เราเอากาย วาจา ใจมาด้วยหรือเปล่าวันนี้? หรือเอาไว้ที่บ้าน นี่ต้องดูอย่างนี้ ดูใกล้ ๆ อย่า ไปดูไกล เราดูกายของเรานี่ ดูวาจา ดูใจของเรา ดูว่าศีลของเราบกพร่องหรือไม่? อย่างนี้ไม่ค่อยจะเห็นมี..

โยมผู้หญิงเราก็เหมือนกันแหละ ล้างจานแล้วก็บ่นหน้าบูดหน้าเบี้ยวอยู่นั้นแหละ มัวไปล้างแต่จานให้มันสะอาด แต่ใจเราไม่สะอาด นี่มันไม่รู้เรื่อง เห็นไหม ไปมองดูแต่จาน มองดูไกลเกินไปใช่ไหม?? ดูนี่ซิ ใครคงจะถูกเข้าบ้างละ มังนี่ นี่ให้ดูตรงนี้มันก็ไม่สะอาดแต่จานเท่านั้นแหละ แต่ใจเราไม่สะอาด นี่มันก็ไม่ดี เรียกว่าเรามองข้ามตัวเอง ไม่มองดูตัวเอง ไปมองดูแต่อย่างอื่น จะทำความชั่วทั้งหลาย ก็ไม่เห็นตัวของเรา ไม่เห็นใจของเรา ภรรยาก็ดีสามีก็ดี ลูกหลานก็ดี จะทำความชั่วแต่ละอย่างก็ต้องมองโน้น มองนี้ แม่จะเห็นหรือเปล่า? ลูกจะเห็นหรือเปล่า? สามีจะเห็นหรือเปล่า? ภรรยาจะเห็นหรือเปล่า? อะไรอย่างนี้ ถ้าไม่มีใครเห็นแล้วก็ทำ อันนี้มันดูถูกเจ้าของว่า คนไม่เห็นก็ทำดีกว่า รีบทำเร็ว ๆ เดี๋ยวคนจะมาเห็น แล้วตัวเราที่ทำนี่มันไม่ใช่คนหรือ เห็นไหม? นี่มันมองข้ามกันไปเสียอย่างนี้ จึงไม่พบของดีไม่พบธรรมะ ถ้าเรามองดูตัวของเรา เราก็จะเห็นตัวเรา จะทำชั่วเราก็รู้จัก ก็จะได้ห้ามเสียทันที จะทำความดีก็ให้ดูที่ใจ เพราะเราก็มองเห็นตัวของเราอยู่แล้ว ก็จะรู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักผิด รู้จักถูก อย่างนี้ก็ต้องรู้สึกสิ .........

ที่มา : www.nongpahpong.org

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

A Pixar Touch ชัยชนะของนักฝันผู้กล้า



A Pixar Touch ชัยชนะของนักฝันผู้กล้า
Book

ศรุตยา  วงศ์วิเชียรชัย

A Pixar Touch

ชัยชนะของนักฝันผู้กล้า




ในปี 1995 ทั่วโลกได้ยลโฉมภาพยนตร์เรื่อง Toy Story   ภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรกของโลกที่มีจินตนาการและเนื้อหาอันเข้มข้น เรื่องราวของเหล่าของเล่นมีชีวิตที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการภาพยนตร์ และทำให้การ์ตูนไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กๆ อีกต่อไป  มันได้รับความนิยมจากผู้คนทุกเพศทุกวัย จากทุกส่วนของโลก จนต้องมี Toy Story 2 ในเวลาต่อมา  ผู้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่นี้คือ Pixar Animation Studiosบริษัทที่มีความเป็นมายิ่งกว่านิยาย เป็นผลลัพธ์ของเส้นทางการต่อสู้อันยาวนานของเหล่านักฝันผู้ก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา



เหล่าผู้ก่อตั้ง

เรื่องราวของ Pixar Animation Studios สามารถนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งได้เลยทีเดียว เพราะมีจุดเริ่มต้นอันต่ำต้อย การฝ่าฟันอุปสรรคนานา แล้วจบลงอย่าง Happy Ending   ผู้คนที่มารวมกันก่อตั้งบริษัทนี้ล้วนเคยตกอยู่ในฐานะที่สังคมพิพากษาว่าเป็นพวกล้มเหลว  John Lasseter ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ในปัจจุบันนั้นเคยถูกไล่ออกจากวอลต์ดิสนีย์  Edwin Catmull  ประธานบริษัทเองก็เคยถูกปฏิเสธเมื่อสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจนต้องมาลงเอยกับงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นทางตันในอาชีพ  ผู้ก่อตั้งบริษัทอีกคนหนึ่งคือ Alvy Ray Smith เองก็ออกจากงานอันมั่นคงในบริษัทซีรอกซ์อย่างกะทันหัน  ส่วนสตีฟ จอบส์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัทก็ถูกบีบให้ออกมาจาก Apple บริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งมากับมือ  ดูเหมือนโชคชะตาได้กำหนดให้คนเหล่านี้ต้องพบความผิดหวัง ต้องหันหลังให้อดีตเพื่อมาพบกันบนเส้นทางใหม่ที่มีทั้งความท้าทายและความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า



จุดเริ่มต้นจากความฝัน

กำเนิดของ Pixar มีที่มาจากอัจฉริยะผู้มีนามว่า Edwind Catmull ในปีที่เขาเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์นั้นเพิ่งเป็นยุคบุกเบิกของการสร้างภาพเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติด้วยคอมพิวเตอร์  หลังจากเรียนจบในปี 1969 เขาได้งานที่บริษัท Boeing  แต่ไม่นานก็ถูกปลดออกพร้อมกับพนักงานคนอื่นๆ นับพันคน  Catmull เคยฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเขาอยากเป็นนักวาดการ์ตูนของวอลต์ดิสนีย์ แต่เมื่อเรียนถึงชั้นมัธยมเขาก็ตัดสินใจว่าไม่มีพรสวรรค์ในการวาดภาพเลย ตอนนี้เมื่อเขาตกงานเสียแล้ว Catmull จึงตัดสินใจมาเรียนต่อด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกด้วยความหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยชดเชยพรสวรรค์ที่ขาดหายไป เขาเชื่อมั่นว่า ด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกนี้เองที่เขาจะสร้างสรรค์ภาพยนตร์การ์ตูนขึ้นมาได้



ในปี 1972 Catmull ได้มีโอกาสสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดสั้นเรื่องหนึ่ง อาจเรียกได้ว่าเป็นการบ้านที่ต้องทำส่งครู เขาตัดสินใจสร้างภาพเคลื่อนไหวของสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด คือ มือซ้ายของเขาเอง  เขาสร้างภาพจำลองของมือซ้ายและเขียนโปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติด้วยตัวเอง ผลลัพท์นั้นเป็นภาพยนตร์ความยาวแค่นาทีเดียว ภาพของมือที่เคลื่อนไหวและเห็นได้โดยรอบทำให้ผู้คนทึ่งและถือว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของคอมพิวเตอร์แอนิเมชันในยุคนั้นเลยทีเดียว  Catmull ไม่รู้เลยว่าภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้เองที่จะมีผลต่อเขาในอนาคต



มาสู่ทางตัน

เมื่อจบการศึกษา Catmull สมัครเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ แต่เขาถูกปฏิเสธ  เขาเบนเข็มมาที่โครงการของศาสตราจารย์ซูเธอร์แลนด์อดีตอาจารย์ของเขาเอง ซึ่งตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปฮอลลีวู้ดเพื่อหาผู้ร่วมลงทุนตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันประกอบโฆษณาหรือภาพยนตร์ต่างๆ  ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์กราฟิกและแอนิเมชันเป็นของใหม่ ใหม่มากจนยากที่จะมีคนสนใจลงทุน ระหว่างที่รอคำตอบจากซูเธอร์แลนด์Catmull ต้องหาเลี้ยงตัวเองกับภรรยาและลูกชายวัย 2 ขวบ เขารับงานโปรแกรมเมอร์ในบริษัท Applicon ในบอสตัน  ในแต่ละวันเขาเหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ กับการทำงานที่เขาเห็นว่าน่าเบื่อที่สุดและเริ่มมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง   แต่ขณะที่เขาเริ่มหมดหวังมหาเศรษฐีคนหนึ่งนามว่า Alexaner Schure ก็ก้าวเข้ามาพอดี  นักธุรกิจใหญ่คนนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มองการณ์ไกล เขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งชื่อว่า New York Institute of Technology ในปี 1955  เขาเกิดความคิดที่จะสร้างสตูดิโอแอนิเมชันในวิทยาเขตแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย   Schure ได้ดูภาพยนตร์สั้นที่ Catmull สร้างขึ้น (และบริษัทของศาสตราจารย์ซูเธอแลนด์ใช้ในการหาผู้ลงทุน) เขามาพบกับศาตราจารย์ซูเธอแลนด์และตกลงซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างที่ศาตราจารย์แนะนำว่าจำเป็นต่อการสร้างภาพเคลื่อนไหว เมื่อศาสตราจารย์ถามว่า Schure คิดจะให้ใครดูแลแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิก Schure ก็ขอให้ศาสตราจารย์แนะนำ ไม่นานนัก Catmull ก็ได้รับโทรศัพท์เสนองานจากมหาเศรษฐีคนนี้



สมิทและดิฟรานเชสโก

เดือนพฤศจิกายน 1974 Catmull ได้เป็นผู้อำนวยการของห้องทดลองคอมพิวเตอร์กราฟิกของ New York Institute of Technology  เขาชวนมัลคอล์ม แบลนชาร์ด ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ Applicon มาด้วย  ขณะที่ Schure ทุ่มเงินและไล่ซื้อเทคโนโลยีที่จำเป็น Catmull ก็รวบรวมคนมีฝืมือมาร่วมทีม คนเหล่านี้เองที่จะมีบทบาทต่อ Pixar Animation Studios ในเวลาต่อมา



ตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากคือ  Alvy Ray Smith เขารักในการวาดภาพมาตลอดชีวิตและยังเรียนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก  Smith เองก็เหมือนกับ Catmull ที่รู้ตัวดีว่าศิลปะนั้นกินไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่สแตนฟอร์ด แต่เขายังคงวาดภาพและจัดแสดงใน Stanford Coffee House เป็นบางครั้ง  เมื่อจบการศึกษาในปี 1968 เขาได้ตำแหน่งอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก  เขาคงอยู่ในงานสายวิชาการอันมั่นคงต่อไปหากไม่ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสกีที่นิวแฮมไชร์ในปี 1973  อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้เขาต้องนอนนิ่งๆ 3 เดือนเต็มๆ เพราะถูกเข้าเฝือกตั้งแต่อกจรดเท้า  ในช่วงนี้เองทำให้เขาได้ทบทวนสิ่งต่างๆ ในชีวิต เขาได้ตระหนักว่า เขายังไม่ได้ใช้พรสวรรค์ด้านศิลปะของตัวเองเลย ในที่สุดเขาก็ลาออกจากงาน เดินทางกลับไปแคลิฟอร์เนียอย่างไร้แผน เขากะว่าจะดำรงชีพอยู่ด้วยเงินเก็บจนกว่าจะพบโอกาสใหม่ในชีวิต



หลังจากออกจากงานได้หลายเดือน Smith มีโครงการเขียนหนังสือเล่มหนึ่งและจำเป็นต้องค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุดมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดซึ่งอยู่ไกลจากที่อยู่มาก  Smith ไปอาศัยค้างคืนกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งทำงานในศูนย์วิจัยของ Xerox  เพื่อนคนนี้เชิญ Smith ไปดูการทำงานของโปรแกรมวาดภาพที่ Xerox พัฒนาขึ้น  แม้ว่า Smith จะไม่เคยชื่นชมการวาดภาพด้วยคอมพิวเตอร์เลย แต่เพราะเกรงใจเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้านเขาจึงยอมรับคำเชิญ โปรแกรมนี้ถูกเรียกว่า SuperPaint  ความล้ำหน้าของมันทำให้ Smith ติดใจเขาขอร้องให้เพื่อนหางานให้เขาในทีมวิจัย  อย่างไรก็ตามเพื่อนของ Smith ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเจ้านายให้จ้างพนักงานเพิ่มได้ เขาจึงหาทางซิกแซกโดยจ้าง Smith เหมือนการจ้างทำของเป็นชิ้นๆ ไป 



Smith เริ่มงานที่ Xerox ในปี 1974 เขาต้องทำวิดีโอภาพเคลื่อนไหวที่แสดงศักยภาพของSuperPaint  ที่นี่เองที่เขาได้พบ DiFrancesco แล้วทั้งคู่ก็สนุกไปกับการทดสอบSuperPaint ด้วยกัน  ในปี 1975 Xerox ตัดสินใจที่จะเน้นแต่เทคโนโลยีขาว-ดำ ดังนั้นเทคโนโลยีการสร้างภาพสีอย่าง SuperPaint ก็ต้องยกเลิกไป เช่นเดียวกับสัญญาจ้างของ Smith   เมื่อต้องตกงาน Smith ตัดสินใจหางานทำที่ใหม่ในที่ที่มีเทคโนโลยีที่เขาจะทำตามความฝันได้ เขากับ DiFrancesco ตามหาไปเรื่อยๆ จนได้พบ Catmull และห้องทดลองแอนิเมชันอันทันสมัย



Catmull รับ Smith และ DiFrancesco เข้าร่วมทีม และเขายังรับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ  เมื่อ Schure ยังลงทุนกับแผนกนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกของ Catmull ก็เป็นศูนย์กลางการค้นคว้าและพัฒนาคอมพิวเตอร์กราฟิกของโลกเลยทีเดียว  อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเงิน เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญ แต่ไม่นานCatmull และ Smith ก็ตระหนักว่าหากจะสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันดีๆ พวกเขาต้องการคนที่มีทักษะการเล่าเรื่องอย่างภาพยนตร์   ทั้งคู่พยายามดึงความสนใจจากวอลต์ดิสนีย์ แต่ในช่วงเวลานั้นวอลต์ดิสนีย์ยังไม่สนใจการสร้างภาพจากคอมพิวเตอร์กราฟิก  ทว่าข้อเสนอกลับมาจากแหล่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง...จอร์จ ลูคัส



จอร์จ ลูคัส

ในปี 1979 จอร์จ ลูคัสส่งคนออกไปตามหาผู้เชี่ยวชาญที่รู้วิธีนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาช่วยทุ่นแรงในการสร้างภาพยนตร์  การตามหานำมาสู่ทีมงานของ Catmull ในที่สุด  หลังจากการพบปะกับผู้บริหารของ Lucasfilm การสัมภาษณ์และแสดงผลงาน ในที่สุดCatmull และทีมจึงตัดสินใจย้ายไปทำงานกับ Lucasfilm   การย้ายค่ายมา Lucasfilmอาจทำให้ทีมของ Catmull เข้าใกล้ความฝันที่จะทำภาพยนตร์แอนิชันมากขึ้น แต่ที่Lucasfilm ไม่เหมือนกับการทำงานกับมหาเศรษฐีอย่าง Schure  แม้ชื่อเสียงขององค์กรจะเป็นตัวดึงดูดคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์มาร่วมงานมากมาย แต่ดูเหมือนจอร์จ ลูคัสจะยังไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนว่าจะให้ทีมคอมพิวเตอร์กราฟิกทำงานอะไร  แม้กระนั้นCatmull และทีมงานยังพยายามเสนอแนวคิดและโครงการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ได้มีส่วนในการสร้างภาพกราฟิกพิเศษให้กับภาพยนตร์เรื่อง Star Trek  ภาค 2 ซึ่งบริษัท Paramount Pictures ได้ว่าจ้างให้ Lucasfilm ช่วยสร้างเทคนิคพิเศษให้  ภาพที่สร้างโดยทีมของ Catmull ได้รับคำชม ทีมคอมพิวเตอร์กราฟิกจึงมีบทบาทขึ้นบ้าง ขณะเดียวกันพวกเขายังไม่ทิ้งความฝันที่จะสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน ทีมงานยังค้นคว้าและพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ในการสร้างภาพกราฟิก Catmull และ Smith ยังนำผลงานไปแสดงในการประชุมคอมพิวเตอร์กราฟิกหรือ SIGGRAPH เหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำทุกปี และในที่สุดพวกเขาก็ได้ John Lasseter มาร่วมทีม



John Lasseter

Catmull พบ John Lasseter ในงานสัมนาทางคอมพิวเตอร์กราฟิกงานหนึ่ง  John นั้นก็เหมือนกับ Catmull เขาหลงใหลในการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้นเขาใฝ่ฝันจะเป็นนักวาดการ์ตูนของวอลต์ดิสนีย์  สมัยเป็นวัยรุ่นเขาส่งตัวอย่างงานและจดหมายแนะนำตัวไปที่สตูดิโอของวอลต์ดิสนีย์ เขาได้รับจดหมายตอบและให้กำลังใจ  จอห์นได้รับโอกาสเข้าเรียนในสถาบันศิลปะแห่งแคลิฟอร์เนีย (หรือเรียกสั้นๆ ว่า CalArts) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตมันสมองของวอลต์ดิสนีย์  นักเรียนที่มีแววจะได้รับการเสนองานให้ทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำ  สำหรับจอห์นนั้นผลงานของเขาโดดเด่นมากจนได้รับข้อเสนอตั้งแต่ปีแรก แต่เขาตัดสินใจเรียนจนได้รับปริญญาในปี1979  เมื่อเข้าทำงานเป็นนักวาดการ์ตูนรุ่นเยาว์ของดิสนีย์ สื่อเรียกจอห์นว่าดาวรุ่งดวงใหม่  อย่างไรก็ตามการจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในดิสนีย์ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ในเวลาไม่นาน ดิสนีย์ก็มาถึงจุดตกต่ำ ขณที่จอห์นพยายามผลักดันโครงการของเขาที่จะสร้างการ์ตูนจากคอมพิวเตอร์กราฟิก  แต่ในสายตาผู้บริหารดิสนีย์ในเวลานั้น หากคอมพิวเตอร์กราฟิกไม่ได้ช่วยลดต้นทุนหรือทำให้สร้างภาพยนตร์ได้เร็วขึ้น ก็ไม่ควรลงทุนลงแรงกับสาขานี้อีกต่อไป เมื่อผู้บริหารตัดสินใจยุติโครงการของจอห์นอย่าถาวร เขาจึงถูกไล่ออก



เมื่อ Catmull พบจอห์นในงานสัมนาและรู้ว่าเขาโดนไล่ออก เขาโทรฯ หา Smith ซึ่งสนับสนุนให้ Catmull ชวนจอห์นมาร่วมทีมทันที  เนื่องจากทั้งคู่กลัวว่าจอร์จ ลูคัสจะตั้งคำถามว่าจะจ้างนักวาดการ์ตูนมาทำไม พวกเขาจึงรับจอห์นเข้ามาในตำแหน่ง Interface Designer   การได้จอห์นมาร่วมงานช่วยทำให้ทีมของ Catmull สมบูรณ์ขึ้น  จอห์นมีพรสวรรค์และแนวคิดในการเล่าเรื่องได้อย่างน่าทึ่ง ผนวกกับเทคนิคการนำเสนออย่างมีชีวิตชีวาที่เขาเรียนรู้มาจากดิสนีย์ ทำให้ภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดสั้นที่พวกเขาสร้างขึ้นได้รับความชื่นชมอย่างมากเมื่อนำไปแสดงในงาน SIGGRAPH ขณะที่ทีมคอมพิวเตอร์กราฟิกก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ อนาคตของพวกเขาใน Lucasfilm ก็มีอันต้องจบลง



สตีฟ จอบส์

ในปี 1985 จอร์จ ลูคัสหย่ากับภรรยา ผลจากการหย่าทำให้เขาต้องเสียเงินไปก้อนโต เพื่อชดเชยเงินที่สูญไป เขาต้องจัดการทรัพย์สินใหม่ จอร์จจ้างประธานบริษัทคนใหม่คือ ดัก นอร์บี  ดักเข้ามาปรับโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำกำไรมากขึ้น และกำจัดส่วนที่ไม่ทำกำไรทิ้งไป  หนึ่งในแผนกที่ดัก นอร์บีต้องขายออกไปคือฝ่ายคอมพิวเตอร์กราฟิกของ Catmull และนี่คือวิธีที่โชคชะตาชักนำให้พวกเขาได้มาพบกับสตีฟ จอบส์



ผู้บริหารของจอร์จ ลูคัสสั่งให้ Catmull ไปหาคนมาซื้อแผนกนี้ไป เขาให้ Catmull ไปติดต่อผู้ซื้อเองแล้วนำข้อเสนอมารายงานบริษัท  Catmull และ Smith ตระเวนไปพบผู้ซื้อหลายราย แต่การเจรจาไม่สำเร็จสักที  วันหนึ่ง Smith พบกับอลัน เคย์ อดีตเพื่อนร่วมงานที่Xerox  สมิทเล่าเรื่องให้เคย์ฟังและขอคำแนะนำ เคย์นึกถึงคนคนหนึ่งที่อาจสนใจซื้อแผนกนี้ คนคนนี้ก็คือ สตีฟ จอบส์นั่นเอง



เคย์ติดต่อสตีฟแล้ว Catmull กับ Smith ก็ได้มาพบสตีฟ จอบส์ที่บ้าน ขณะนั้นสตีฟเพิ่งถูกกดดันริบอำนาจบริหารใน Apple เขายังขมชื่นและตั้งบริษัท NeXT ขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับ Apple  อย่างไรก็ตามการพบกันครั้งแรกระหว่าง Catmull และ Smith กับสตีฟ จอบส์ไม่ก่อให้เกิดข้อตกลง  จอบส์เปิดเผยว่าเขาสนใจแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิก แต่เขาคิดว่าราคาที่ Lucasfilm ตั้งไว้นั้นแพงเกินไป  แต่เขาจะคอยตรวจสอบราคาเรื่อยๆ เพื่อกลับมาซื้อบริษัทนี้ในราคาที่เขาพอใจ



หลังจากความพยายามอันยาวนานแต่ก็หาผู้ซื้อแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกไม่ด้เสียที ในที่สุดดัก นอร์บีก็ถอดใจ เขากำลังคิดจะปิดแผนกนี้เมื่อสตีฟ จอบส์โทรฯ มาและเสนอเงิน 5 ล้านดอลลาร์  ดัก นอร์บีรีบตอบรับทันที เพราะเขาอยากล้างมือจากแผนกนี้โดยเร็วที่สุด



Pixar Inc.

สตีฟ จอบส์ซื้อแผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกมาในราคา 5 ล้านดอลลาร์  แต่กลับเสียเงินในการพัฒนามันมากกว่านั้นถึง 10 เท่า  ความตั้งใจของเขานั้นต้องการใช้แผนกนี้ผลิตคอมพิวเตอร์สำหรับงานกราฟิกโดยเฉพาะ นี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ Pixar Inc. ซึ่งแผลงมาจากคำว่า Pixer ที่หมายถึงการสร้างภาพ (แผลงมาจาก Picture Maker อีกที) จอบส์มีความฝันว่าคอมพิวเตอร์ของ Pixar จะได้รับความนิยม และบริษัทนี้จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ Apple  สำหรับ Catmull และทีมงานนั้นรู้ดีกว่านั้น  พวกเขาตระหนักดีว่ายังไม่ถึงเวลาของคอมพิวเตอร์กราฟิก  การที่คนทั่วไปจะหันมาสนใจหรือนิยมคอมพิวเตอร์กราฟิกยังต้องอาศัยเวลาอีกนาน  แต่เพื่อรักษาตัวรอด ทีมงานตัดสินใจว่าจะทำตามใจสตีฟ จอบส์  พวกเขาจึงพัฒนา Pixar Image Computer และเปิดตัวในกลางปี 1986 อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงไม่ทิ้งความฝันเดิม  ทีม Pixar มีแผน 3 ขั้นที่จะไปสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่คือ 1. พวกเขาจะพยายามสร้างแอนิเมชันสำหรับภาพยนตร์โฆษณา เพื่อให้Pixar เลี้ยงดูตัวเองได้  2. ทีมจะพยายามสร้างแอนิเมชันความยาว 30- 60 นาทีเพื่อพัฒนาทักษะและเทคนิค 3. เมื่อพัฒนาได้ถึงจุดหนึ่งแล้ว Pixar จะลองสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันความยาวเต็มที่ขึ้นมา



สตีฟ จอบส์ไม่ใช่นายใจดี เขาให้อิสระในการทำงาน แต่ช่างเรียกร้องและค่อนข้างเจ้าอารมณ์ ขณะที่ Catmull คอยรับหน้าสตีฟ จอบส์ ทีมแอนิเมชันของ John Lasseter ก็พัฒนางานแอนิเมชันไปเรื่อยๆ  Pixar ยังคงสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดสั้นไปร่วมแสดงในงาน SIGGRAPH  ขณะที่โครงการสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับงานกราฟิกของพวกเขาไม่ก้าวหน้า ผลงานของเขาที่ร่วมแสดงใน SIGGRAPH กลับเป็นที่กล่าวขวัญขึ้นเรื่อยๆ   ในปี 1988 ภาพยนตร์ Tin Toy ที่ Pixar ส่งเข้าร่วมงาน SIGGRAPH ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์สั้น ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งหลายเริ่มอยากร่วมงานกับ Pixar ดิสนีย์ส่งคนมาทาบทาม John Lassester แต่จอห์นตัดสินใจว่าจะอยู่กับ Pixar ต่อไป ขณะเดียวกัน การได้รางวัลก็ทำให้สตีฟ จอบส์ยอมควักเงินลงทุนให้ Pixar สร้างภาพยนตร์สั้นเรื่องต่อไป  จากจุดนี้เองที่นำ Pixar ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์



สู่โลกภาพยนตร์

ในปี 1991 Pixar กับดิสนีย์ได้บรรลุข้อตกลงกันที่ดิสนีย์จะลงทุนให้กับการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องแรกที่จะออกฉายตามโรงภาพยนตร์ แม้ดิสนีย์จะยอมเสี่ยงแต่บริษัทนี้ก็พยายามเข้ามาควบคุมการทำงานของ Pixar ทุกด้าน  ในปี 1993 ดิสนีย์ถึงกับสั่งหยุดการผลิตแอนิเมชันเรื่อง Toy Story ที่ John Lasesseter เป็นผู้กำกับด้วย ด้วยเหตุผลที่ไม่ชอบใจเรื่องบทภาพยนตร์  อย่างไรก็ตาม Pixar ไม่เคยรู้จักคำว่าท้อ ในที่สุดในปี 1995 โลกก็ได้รู้จัก Toy Story ตามมาด้วยภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กันในปีต่อๆ มา คือ A Bug's Life, Toy Story 2,  Monster Inc, Finding Nemo และ The Incredibles  เมื่อถึงตอนนี้ดูเหมือนดิสนีย์จะเป็นฝ่ายต้องง้อ Pixar แล้ว เพราะรายได้จากการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ของ Pixar คิดเป็น 45% ของรายได้จากการดำเนินงานฝ่ายภาพยนตร์ของดีสนีย์เลยทีเดียว  เมื่อสัญญาระหว่างดีสนีย์กับ Pixar สิ้นสุดลง ทุกคนต่างจับตามองว่าดิสนีย์จะทำอย่างไรต่อไป  ในที่สุดดิสนีย์ตัดสินใจเจรจาของซื้อ Pixarจากสตีฟ จอบส์  สตีฟขาย Pixar ให้ดิสนีย์ในมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และแลกกับการถือหุ้นส่วนหนึ่งในดิสนีย์ 



การขาย Pixar ให้ดิสนีย์ทำให้จอบส์ได้เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของดิสนีย์ ขณะเดียวกันก็ทำให้ John Lasseter ได้กลับมาเยือนบริษัทที่เคยไล่เขาออกอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาได้กลับมาในฐานะผู้บริหารที่ควบคุมงานสร้างสรรค์ทั้งหมดของดิสนีย์และ Pixar รวมทั้งคอยให้คำแนะนำการสร้างสรรค์สวนสนุกและรีสอร์ตทั่วโลกของดิสนีย์ด้วย  Edwind Catmull ได้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Pixar  จากนี้ไปเขา จอห์น และทีม Pixar จะได้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชันอย่างที่ใจต้องการเสียที  ความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่องต่อๆ มาคือ Cars และ Ratatouille เป็นเหมือนคำยืนยันว่า พวกเขาจะยังโลดแล่นในวงการภาพยนตร์และทำตามความฝันของตนต่อไปได้อีกนาน

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติของเก่าจนต้องเลิกใช้ ติของใหม่จนใช้ไม่ได้



ดร.บวร ปภัสราทร
ไม่มีงานใดในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ ถ้าเริ่มต้นการทำงานด้วยการติเตียนวิธีการทำงานดั่งเดิม

ด้วยความตั้งใจลึกๆ ว่าจะเปิดทางให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นตามแนวทางที่ตนเองเห็นว่าดีกว่าเดิม มักจะลงท้ายว่าทำงานตามวิธีเดิมต่อไปไม่ได้ ในขณะที่ไม่สามารถหาวิธีใหม่มาทดแทนได้ เพราะติจนของเก่าไม่เหลือความดีอยู่เลย ในขณะที่คนอื่นก็หาเรื่องติของใหม่จนเริ่มต้นใช้งานไม่ได้เหมือนกัน ติของเก่ามากเท่าใด คนชื่นชมของเก่าก็ตั้งป้อมเล่นงานของใหม่มากเท่านั้น วิธีทำงานดั่งเดิมนั้นจะย่ำแย่อย่างไรก็ยังมีคนพออกพอใจอยู่ดี เพราะคุ้นเคยกับของเก่าและกลัวการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นด้วยการเล่นงานของเก่าจะจบลงด้วยไม่มีของใหม่


หลายคนเข้าใจไปเองว่าการติเตียนคือส่วนหนึ่งของการทำงาน เพราะเห็นคนได้ดิบได้ดีจากการติเตียนผลงานของคนอื่น อาการนี่เกิดขึ้นได้มากในสังคมที่ให้ปากเป็นเอก เลขเป็นโท พูดเก่งได้ดี ทำเก่งไม่แน่ว่าจะได้ดี แต่ถ้าลองย้อนคิดกันดีๆ จะนึกได้ว่าใครจะติกันเก่งแค่ไหนก็ตาม งานก็ไม่มีวันเสร็จสิ้นลงไปได้ถ้าไม่เริ่มลงมือทำ การติเตียนจึงไม่ใช่การทำงาน เพราะทำงานแล้วต้องมีผลงานเกิดขึ้น การติเตียนโดยปราศจากข้อเสนอแนะไม่มีทางทำให้งานเดินหน้าไปได้ ถ้าตกอยู่ในสภาพที่รอบตัวเริ่มต้นทุกเรื่องด้วยการตำหนิติเตียนกัน จะลงมือทำงานใดขอให้วางใจให้เป็นกลางก่อนรับทราบคำติเตียนต่างๆ ที่หลั่งไหลมาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น แล้วพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมจึงมีคำติเตียนนั้นเกิดขึ้นได้ 
 
ปรากฏกันอยู่เสมอว่าที่ติทั้งเก่าทั้งใหม่นั้นไม่ได้มาจากวิธีทำงานหรือประเด็นอื่นใดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานนั้น แต่ต้นเหตุจริงๆ มาจากตัวคนที่ยกสารพัดเรื่องมาติเตียนกัน ติเพราะไม่ถูกใจคนทำงานมากกว่าไม่ชอบใจวิธีทำงาน แต่ใช้วิธีตีวัวกระทบคราด แทนที่จะบอกกันไปตรงๆ ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในบางวัฒนธรรมที่บอกกล่าวอะไรกันตรงๆ ไม่ได้ เลยเกิดเป็นวิธีการปฏิบัติที่ว่าไม่ชอบใครให้ติงานของคนนั้นไว้ก่อน ถ้าคำติเตียนที่ได้ยินได้ฟังมาเข้าข่ายนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนยกเลิกวิธีการทำงานดั่งเดิม หรือไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจว่าต้องหาวิธีใหม่มาทดแทนวิธีใหม่ที่เพิ่งจะเสนอกันมาแต่โดนติเตียนเสียจนดูเหมือนไม่เหลืออะไรดีพอที่จะนำมาใช้ได้ ถ้าเราเข้าใจความจริงนี้แล้วทั้งของเก่าของใหม่ก็ใช้ได้ทั้งสิ้นสำหรับที่จะเริ่มต้นเดินหน้าทำงานต่อไป แต่อย่าเผลอไปยกย่องวิธีการทำงานผิดที่ผิดทาง ทำงานอยู่สักพักก็จะเห็นชัดเจนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ใครมาติของเก่าให้ฟังก็รับฟังเข้าหูซ้ายแล้วปล่อยออกหูขวา ไม่ต้องออกความคิดความเห็นใด เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าติงานเพราะต้องการติคน ไม่ใช่ติงานเพราะงานย่ำแย่อย่างที่ว่ากล่าวกัน
 
ถ้ามีข้อมูลที่เป็นความจริงที่ยืนยันได้ว่าวิธีการทำงานดั่งเดิมนั้นหมดสมัยแล้วจริงๆ แต่ตกอยู่ในสภาพที่แวดล้อมไปด้วยนักติชั้นเซียน คงต้องพิจารณาดูว่าที่นักติทั้งหลายว่ากล่าววิธีการใหม่ที่จะมาใช้ทดแทนของเก่าที่หมดสมัยไว้นั้นมีแต่การบอกกล่าวว่าของใหม่ไม่ดีตรงนั้นตรงนี้ หรือมีคำแนะนำทางออกไว้ด้วย ถ้ามีแต่ว่าไม่ดีแต่ไม่มีข้อเสนอว่าถ้าจะให้ดีต้องทำอย่างไร ก็ให้ละเลยคำติเตียนนั้นไปได้เลย เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้ วิธีใหม่ที่เสนอกันว่าจะมาทดแทนวิธีการเก่าที่เรามั่นใจด้วยข้อมูลว่าหมดสมัยแล้วจริงๆ ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เรายอมเดินหน้ากับวิธีการที่โดนติสารพัดจากนักติมืออาชีพ ดีกว่าติดอยู่กับที่เดินหน้าด้วยวิธีเก่าก็ถูกติ เดินหน้าด้วยวิธีใหม่ก็กลัวจะถูกติอีก งานก็ไม่เดินหน้าไปไหนเสียที สุดท้ายตัวเราเองก็จะกลายเป็นของการติไปด้วยเพราะเมื่อเวลาผ่านไปไม่มีอะไรเดินหน้าไปได้สักอย่าง นักติชั้นเซียนนั้นอยู่ว่างไม่ได้ เป้าต่อไปจะเปลี่ยนจากของใหม่มาเป็นคนทำงานที่เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังไม่ได้เพราะกลัวถูกติซึ่งในที่สุดก็หนีไม่พ้นการถูกติเตียนจากมืออาชีพไปจนได้ ระลึกได้เช่นนี้แล้วขอให้เดินหน้าทำงานด้วยวิธีการที่โดนติเตียนอย่างไม่สร้างสรรค์นั้นให้มีผลงานขึ้นมาให้ได้โดยเร็ว แต่ไม่ต้องตั้งความหวังว่างานสำเร็จแล้วจะไม่โดนตำหนิ เพียงแต่คราวนี้จะติอย่างไรก็ไม่เป็นไรเพราะผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ผู้คนได้ประจักษ์แล้วว่าความจริงที่ถูกบิดเบือนจากคำตำหนินั้นเป็นอย่างไร ระลึกไว้เสมอว่าถูกติตอนที่มีผลงานนั้นดีกว่าถูกติตอนไร้ผลงาน
 
การสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ตัวเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการติเตียนจนของเก่าใช้ต่อไม่ได้ ของใหม่ก็เริ่มใช้ไม่ได้นั้นมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเดินหน้าทำงานด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ ถ้าเราหลอกตัวเราเองให้หลงอยู่ในกระบวนการตำหนินิยมนี้โดยไม่รู้ตัวแล้วยากนักที่จะเดินหน้าทำงานไปได้ จะทำอะไรก็เห็นแต่ข้อเสียกีดขวางไปหมด จะเริ่มต้นทำงานก็กลายเป็นเริ่มต้นหาเรื่องที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ดังนั้นถ้ามั่นใจแน่ๆ ว่าเรายังไม่ได้หลงอยู่ในวังวนของตำหนินิยมยามใดที่ได้ยินได้ทราบคำติเตียนใดๆ ให้หาแหล่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดการติเตียนนั้นว่ามาจากไหน ถ้ามาจากวิธีการทำงานดั่งเดิมที่ย่ำแย่ แหล่งขับเคลื่อนคือข้อมูลที่ยืนยันความย่ำแย่นั้น ถ้าของเก่าแย่จริงต้องพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูล ถ้าของใหม่แย่จริงจะพิสูจน์ได้ด้วยข้อมูลความล้มเหลวของคนอื่นที่ได้ใช้วิธีการนั้นมาก่อนเรา ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าความย่ำแย่นั้นมีจริง อย่ารีบร้อนหมดหวังกับของเก่า และอย่าสิ้นหวังกับของใหม่ แต่ให้มั่นใจว่าหนทางให้เดินหน้าทำงานได้ยังมีอยู่
 
เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นกับวิธีการเก่าที่เราเชื่อว่ายังใช้ได้ หรือวิธีการใหม่ที่จะเป็นหนทางทดแทนวิธีการเก่าที่เราพิสูจน์ได้ว่าตกยุคไปแล้วให้ลองมองย้อนทิศกลับจากคำติเตียนที่ได้ยินได้ฟัง ลองหาว่าข้อดีของวิธีการที่เราเชื่อนั้นมีอะไรบ้าง ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เลวไปหมดจนหาที่ดีไม่ได้ ลองหาข้อดีดูสักพักถ้าเริ่มเห็นว่าที่ติเตียนกันมานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย มีโอกาสเกิดขึ้นได้หนึ่งในล้านหนึ่งในพันล้าน แสดงว่าเรามีหนทางเดินหน้าทำงานโดยมีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวไม่มากเหมือนกับที่ติเตียนกันไว้ ลองนึกต่อไปว่าวิธีการที่เราเชื่อนั้นช่วยป้องกันความล้มเหลวให้เราได้อย่างไรบ้าง ถ้าวิธีที่นักติทั้งหลายบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้แต่กลับมีหนทางให้เรารอดจากความล้มเหลวได้ แถมยังเดินหน้าทำงานต่อไปได้อีกด้วย แล้วจะมีอะไรอีกเล่าที่จะทำให้เราไม่กล้าเดินหน้าไปกับการทำงานตามวิธีที่เราเชื่อนอกจากกลัวว่าทำแล้วจะมีคนมาติเตียน กลัวถูกติเตียนได้แต่ต้องกลัวอย่างมุ่งมั่นที่จะทำให้งานเดินหน้าได้ อย่ากลัวแบบที่จะพยายามอยู่เฉยๆ มากกว่าที่จะเดินหน้าทำงาน ยุคของการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ดีนั้นกลายเป็นยุคอดีตไปแล้ว

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ จากวิกรม กรมดิษฐ์ !!!







ต้องบอกว่าประเทศไทยเปิดศักราชปีเสือไม่โสภา เมื่อ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ระบุว่าไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนเหมือนที่ผ่านมาในสายตาของ นักลงทุนญี่ปุ่น ทำให้คิดถึงความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครที่เคยพูดถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ

1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะ ห
น้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีม เวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม