วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

วิธีจัดการไวรัสกิน Icon หน้าจอ Desktop และ ไฟล์ EXE



ตอนนี้ (เดือน กันยายน 2561) โรงพยาบาลหลายแห่งในจังหวัดผมโดนไวรัสเล่นงานอย่างหนัก ซึ่งบางโรงพยาบาลโดนหนักถึงขนาดให้บริการคนไข้ไม่ได้ไปเลยทีเดียว ไวรัสชื่ออะไรไม่รู้ (เหมือนจะมีมากกว่า 1 ตัวด้วย) อาการหลักๆ เท่าที่ทราบ คือ

1. เริ่มจากเครื่องคอมพิวเตอร์จะแฮงค์แล้วขึ้น BlueScreen (จอฟ้า) ซึ่งเป็นอุบายของเจ้าไวรัสที่ต้องการให้ User Reboot เครื่องใหม่เพื่อจะให้ตัวมันทำงานทุกครั้งพร้อมกับ Windows มันจะเขียนตัวเองลงใน Register ของระบบ 

2. เมื่อมันทำงานได้วิธีการของมัน คือ มันจะแพร่ตัวเองผ่านวง LAN เครื่องไหนที่ต่อสาย LAN ไว้จะติดไวรัสโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเจาะผ่าน SMB V1.0 ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ถูก Hack ใน Windows ที่ Microsoft เลิก Support แล้ว (พบว่าเครื่องที่เป็น Windows 10 ไม่มีอาการใดๆ แต่ Win7 และ XP โดนทุกเครื่อง)

3. เครื่องที่ติดไวรัสพบว่า Icon ที่หน้าจอ Desktop จะหายไป และ ไฟล์ EXE ซึ่งเป็นไฟล์ของโปรแกรมต่างๆถูกลบหายไปเรื่อยๆ จนเครื่องคอมฯ ไม่สามารถใช้งานได้

4. Admin หลายท่านพยายามจะลบลงใหม่ แต่พอเสียบสาย LAN อาการเดิมก็มาอีก


วิธีการจัดการ 
ในการจัดการเจ้าไวรัสชุดนี้ต้องใช้หลักระบาดวิทยามาช่วย (เพราะมันระบาดเหมือนโรคระบาดเลยทีเดียว) นั่นคือ

1. ถ้าพบว่าเครื่องไหนมีอาการขึ้น BlueScreen (จอฟ้า) ให้ถอดสาย LAN ออกเพื่อตัดวงจรการระบาดก่อน... เครื่องที่ติดไวรัแนะนำให้ล้างเครื่องลง Windows ใหม่เลยนะครับ เมื่อลงใหม่แล้วให้ทำตาม ข้อ 2 เป็นต้นไป ย้ำเลยนะครับ ประชาสัมพันธ์ให้ จนท. ทราบว่าหากเครื่องมีอาการจอฟ้าให้ถอดสาย LAN ก่อนรีบูตเครื่องนะครับ ไม่เช่นนนั้นไวรัสจะกระจายลงในวง LAN ทันที 

2. Block Port 135,139,445 ไวรัสจะโจมตีผ่าน Port เหล่านี้แต่เมื่อปิด Port แล้วคุณจะแชร์ทรัพยากรของเครื่องไม่ได้นะครับ

3. กรณีใช้ Windows7 , Windows Server 2008 ต้องเข้าไปปิด SMB10 ด้วย PowerShell วิธีปิด คลิ๊กที่นี่

สำหรับเครื่องที่ยังไม่ติดไวรัส

3. ให้ Update Patch ความปลอดภัยของ Windows  >> 
4. Update ตัว Data ของโปรแกรม Scan Virus ให้เป็นปัจจุบัน

5. ปิด Share ถ้าจำเป็นต้อง Share Printer ให้ตั้งค่าตามรูป


6. สำหรับเครื่องที่ต้องใช้ในการให้บริการประชาชน เช่น OPD WARD ให้ติดตั้งโปรแกรมพวก Recovery Windows กลับมาเป็นเหมือนเดิมหลังจาก Restart เครื่องด้วย เนื่องจากหากไม่ติดตั้งอาจมีความเสี่ยงที่จะให้บริการต่างๆต้องหยุดชะงักได้

เพิ่มเติม.. สำหรับท่านที่จะแก้ปัญหาด้วยการลง Windows 10 แล้วรำคาญจิตกับการบังคับ Update ของมัน นี่เลยครับโปรแกรมปิด Update ผมทดลองแล้วหยุดได้จริง

Download >> https://www.novirusthanks.org/products/win-update-stop/

วิธีใช้ >> https://notebookspec.com/tool-windows-update/448093/


หวังว่าบนความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับ Admin ที่ต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัวแบบนี้นะครับ... 


Mi Band 3 Update Firmware แสดงข้อความภาษาไทย

สำหรับใครที่สนใจ Smart Watch เอาไว้ออกกำลังกายในราคาไม่เกิน 1,000 บาท แล้วแสตนบายด์ได้นานหลายวันก็คงต้องเป็นเจ้า Mi Band นี่ล่ะครับ สำหรับใครอยากรู้จักกับมันก็ดูจากคลิปแนะนำนี้นะครับ



แต่ประเด็นที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ (ณ วันที่ 13 กันยายน 2561) คือ การทำให้เจ้า Mi Band 3 แสดงผลเป็นภาษาไทยนะครับ ซึ่ง ณ วันนี้ผมเพิ่งได้เจ้า Mi Band 3 ที่ Update Firmware เป็น Eng Version มาครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว แต่ปัญหาที่เจอคือ เมื่อเราติดตั้ง App Mi Fit แล้วมันให้ Update Firmware เป็น Version ล่าสุดแล้ว เจ้า Mi Band 3 กลับมาเป็นภาษาจีนอีก อีกทั้งถ้าจะตั้งเมนูให้เป็น Eng เราต้องไปตั้งค่าภาษาโทรศัพท์ของเราให้เป็น Eng ด้วย เจ้า Mi Band 3 ถึงจะแสดงเมนูเป็นภาษาอังกฤษ... แต่เวลาเราใช้โทรศัพท์นี่สิครับ ต้องมานั่งไล่หาเมนู Eng กันอีก เฮ้อ...

เมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยคิดว่า วิธีการที่ได้ผลที่สุด ก็ไม่พ้น ต้อง Downgrade Firmware และ Mi Fit ให้เป็น Version ที่ต่ำกว่า Version ล่าสุดลงมา ซึ่งเป็นวิธีการที่ผมทำแล้วมัน Work ครับ (ยอมแลกมากับความเสี่ยงที่จะเสียเจ้า Mi Band 3 กันไปเลยทีเดียว)

คำเตือน!! ถ้าท่านไม่มั่นใจก็ไม่ต้องอ่านข้อความถัดจากนี้ไปนะครับ ก่อนที่จะอ่านบรรทัดต่อไปผมขอบอกก่อนว่าหาก Mi Band ท่านมีปัญหาผมไม่ขอรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเจ้า Mi Band ของท่านนะครับ

วิธีการ Update Firmware ให้แสดงภาษาไทย 

ขั้นเตรียมการ ให้ Download ไฟล์มาไว้ในโทรศัพท์นะครับ
-  Mi Band 3  English Firmware 1.5.0.2 >> Download
- App Mi Fit Verion 3.4.6.8 >> Download
ที่มา : https://geekdoing.com

1. Download App  Notify & Fitness for Mi Band  มาติดตั้ง  


2. จับคู่เจ้า Mi Band 3 กับ App ให้เรียบร้อย เมื่อจับคู่ได้แล้วให้เปิดเมนู "การตั้งค่า" ขึ้นมา


3. ที่หน้าจอตั้งค่าให้คลิ๊กปุ่ม "อัพเดท" ตรง เวอร์ชั่นเฟริมแวร์ของ Mi Band


4. เลือก Custom Firmware 


5. เลือกไฟล์  English Firmware 1.5.0.2 ที่ Download มาไว้ในเครื่องแล้ว


6. รอจนทุกอย่างเรียบร้อย ให้ทำการติดตั้ง Mi Fit Verion 3.4.6.8  ถ้ามี Version ใหม่กว่าให้ถอนการติดตั้งออกไปก่อน (ก่อนติดตั้งต้องไปตั้งค่าความปลอดภัยให้ยอมรับ App ที่มาจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักก่อนนะครับ)




เสร็จเรียบร้อยก็ลองเปิด Mi Fit มาตรวจสอบ Version ดูนะครับ ทีนี้ถ้ามีการแจ้ง Update Version Mi Fit อย่าไปตอบตกลงเชียวนะครับ Mi Band ของท่านอาจจะได้กลับมาเป็นภาษาจีนอีกก็เป็นได้ เตือนไว้ด้วยความหวังดี รอให้ทาง Xiami เขาทำ App มารองรับภาษาไทยก่อนค่อยว่ากันนะครับ...



รีบูตโทรศัพท์อีกสักทีเพื่อความชัวร์ แล้วก็ไปตั้งค่าแจ้งเตือนต่างๆเสียนะครับ ลองทดสอบอ่าน SMS ผลก็ปรากฏดังภาพ...




สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับท่านที่เป็นเจ้าของ Mi Band ทุกท่านนะครับ ย้ำอีกครั้งนะครับผมไม่ขอรับผิดชอบใดๆ ในความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นกับ Mi Band ของท่านนะครับ

สวัสดีครับ....











วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วิธีการติดตั้ง SSL ฟรี จาก "Let's Encrypt" บน Apache Windows





Let’s Encrypt เป็นผู้ออกใบรับรองดิจิตอล (Certificate Authority) ซึ่งมี Internet Security Research Group เป็นผู้สนับสนุน มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เกิดระบบความปลอดภัยบนเวปไซด์  และให้เข้าถึงการใช้ SSL ได้โดยง่าย ที่สำคัญ ฟรี! ซึ่งช่วยให้เราลดภาระค่าใช้จ่ายรายปีในการเช่าซื้อ SSL  

เนื้อหาในบทความนี้จะกล่าวถึงวิธีการตั้งค่าให้เวปไซด์ของเราทำงานบน HTTPS บน Apache Windows 




(1) Download เครื่องมือสำหรับสร้าง SSL Certificate  (letsencrypt-win-simple)




letsencrypt-win-simple เป็นโปรแกรมสำหรับใช้สร้าง SSL Certificate  บน Windows สามารถ Downlaod ได้ที่นี่ :  https://goo.gl/rBJ95d





(2) ทดสอบการสร้าง SSL Certificate 

หลังจากที่ Download ไฟล์มาแล้วให้เราแตก zip ออกมา และทดสอบการสร้าง SSL Certificate 
ให้เปิด Command Prompt หรือ พิมพ์ cmd ที่ Run แล้วพิมพ์คำสั่ง
cd C:\letsencrypt-win-simple


สั่งสร้าง Certificate บน Test mode โดยใช้คำสั่ง


letsencrypt.exe --manualhost <domain-name> --webroot <document-root> --test
<domain-name> คือ ชื่อเวปไซด์ที่ต้องการสร้าง Certifacate เช่น www.tong.com   
<document-root> คือ Root Path ของเวปไซด์ เช่น "C:\xampp\htdocs" 
ตัวอย่าง
letsencrypt.exe --manualhost www.tong.com --webroot "C:\xampp\htdocs" --test
ถ้าสร้างได้สำเร็จจะปรากฏข้อความดังนี้
Authorizing Identifier <domain-name> Using Challenge Type http-01
 Writing challenge answer to <document-root>\.well-known/acme-challenge/<challenge-text>
 Answer should now be browsable at <document-root>/.well-known/acme-challenge/<challenge-text>
 Submitting answer
 Refreshing authorization
 Authorization Result: valid

Requesting Certificate
 Request Status: Created
 Saving Certificate to C:\Users\<username>\AppData\Roaming\letsencrypt-win-simple\httpsacme-stage.api.letsencrypt.org\<domain-name>-crt.der
 Saving Issuer Certificate to D:\Users\<username>\AppData\Roaming\letsencrypt-win-simple\httpsacme-stage.api.letsencrypt.org\ca-<hex>-crt.pem
 Saving Certificate to D:\Users\<username>\AppData\Roaming\letsencrypt-win-simple\httpsacme-stage.api.letsencrypt.org\<domain-name>-all.pfx



(3) สร้าง SSL Certificate 

เมื่อทดสอบผ่านแล้วให้เราสั่งสร้าง SSL Certificate โดยใช้คำสั่ง (เอาคำสั่ง --test ออก) 
letsencrypt.exe --manualhost <domain-name> --webroot <document-root>

(4) แก้ Config Apache (httpd.conf) 

เพิ่ม SSL Certificate Path ลงใน <VirtualHost>
** อย่าลืมเปิด
LoadModule vhost_alias_module modules/mod_vhost_alias.so
ด้วยนะครับ
<VirtualHost *:443>
    ServerAdmin admin@tong.com
    ServerName www.tong.com
    
    SSLEngine on
    SSLCertificateFile "C:/Users/<username>/AppData/Roaming/letsencrypt-win-simple/httpsacme-v01.api.letsencrypt.org/<domain-name>-crt.pem"
    SSLCertificateKeyFile "C:/Users/<username>/AppData/Roaming/letsencrypt-win-simple/httpsacme-v01.api.letsencrypt.org/<domain-name>-key.pem"
    SSLCertificateChainFile "C:/Users/<username>/AppData/Roaming/letsencrypt-win-simple/httpsacme-v01.api.letsencrypt.org/<domain-name>-chain.pem"    
   
    DocumentRoot "C:/xampp/htdocs"
    <Directory "C:/xampp/htdocs">
        Options Indexes FollowSymLinks
        AllowOverride None
        Order allow,deny
        Allow from all
    </Directory>
</VirtualHost>
<domain-name> คือ ชื่อเวปไซด์ที่ต้องการสร้าง Certifacate เช่น www.tong.com <username> คือ Folder User ของ Windows

(5) Restart Apache 

------ The END ------

หมายเหตุ : ให้ระวังในกรณีที่ Config RootDirectory ของ HTTP กับ HTTPS ไว้คนล่ะที่ 
เพราะ Let's Encrypt จะตรวจสอบ Key กลับมาที่ Port HTTP อาจทำให้เกิด Error 
ไม่พบ Key สำหรับตรวจสอบได้ วิธีการแก้ไข คือ ให้สร้าง SSL ด้วย Path ที่เป็น HTTP 
แล้ว Copy Folder ".well-know" ไปวางไว้ใน HTTPS Path ด้วย
หวังว่าคงจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เจาะลึก...รพ.สต.!วันที่เป็น'หมออนามัยหน้าจอ' ภาค 2



พอดีผมได้เห็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ หัวข้อ "เจาะลึก...รพ.สต.!วันที่เป็น'หมออนามัยหน้าจอ'" จริงๆแล้วผมเองรู้สึกเฉยๆ และ คิดว่าจะไม่ยุ่ง (แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้)  ตลอดระยะเวลาของการทำงาน IT 10 กว่าปีของผม ตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุขเริ่มคิดแนวทางพัฒนาแฟ้มข้อมูลมาตรฐานสำหรับเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสาธารณสุขจากโปรแกรมที่มีหลากหลายในประเทศไทย เริ่มจาก 18 แฟ้ม-->18+12 แฟ้ม-->21 แฟ้ม-->43 แฟ้ม  และ ล่าสุด New 43 แฟ้มที่กำลังจะประกาศออกมาในปี 2558 นี้

ในความเห็นโดยส่วนตัวของผมกระทรวงสาธารณสุขมีแนวคิดที่มาถูกทางแล้ว และ หากสามารถทำได้จริง โปรแกรมระบบงานสาธารณสุขจะเป็นเหมือน Smart Phone ยิ่งออกมามากเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งแข่งกันพัฒนาไม่ใช่ผูกขาดแล้วใช้ความได้เปรียบว่าคนใช้มากกว่ามาเป็นข้อต่อรอง ซึ่งเมื่อใดที่เกิดการบังคับใช้โปรแกรมของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง การพัฒนาจะช้าลง และบริษัทจะเป็นผู้ถือนโยบายแทนส่วนกลาง (ต้องทำงานตามโปรแกรม ไม่ใช่กำหนดให้โปรแกรมตอบระบบงาน)  ซึ่งในเรื่องของการพัฒนาแฟ้มมาตรฐานนั้นต้องอดทนรอคอยเพราะต้องปรับจูนปัญหาที่พบจากการทำงาน และพัฒนาให้ตอบโจทย์การทำงานให้ได้อยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนแปลงแบบเปลี่ยนทิ้ง สร้างใหม่มาอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ทุกอย่างมันไม่นิ่งแฟ้มที่ควรจะอยู่นิ่งก็ถูกปรับไปด้วย จึงทำให้ทุกอย่างเกิดความยุ่งยากวุ่นวาย เปรียบเสมือนกันกับเด็กกลุ่มนึงที่ไม่มีใครอ่านหนังสือออก แต่กำลังเดาเนื้อหาของหนังสือที่วางอยู่ตรงกลางวงสนทนา...

ก่อนที่ผมจะเข้าเรื่องผมขอเกริ่นนำนิดนึงว่าเรื่องที่ผมจะวิพากษณ์ต่อไปนี้อาจจะยืดยาวสักเล็กน้อย และเป็นความคิดเห็นของผมเพียงคนเดียว จากประสบการณ์ทำงานด้าน IT มาตลอดระยะเวลาตั้งแต่อายุ 20 กว่าปี จนปัจจุบันอายุก็ย่างเข้าเลข 4x แต่สิ่งที่อยากให้เกิดกลับย่ำอยู่กับที่ และหวังว่าก่อนเกษียณผมคงจะได้เห็นระบบที่ฝันไว้เกิดขึ้นจริง...

เข้าเรื่องนะครับบังเอิญผมเห็นเนื้อหาข่าวที่หลายๆท่าน Share กันอยู่บน Social Network แล้วก็วิจารณ์กันอย่างมันส์ในอารมณ์ในสถานการณ์ที่กำลังครุกรุ่นวุ่นวายภายในกระทรวงสาธารณสุข




เนื้อหาข่าว : http://www.komchadluek.net/mobile/detail/20140619/186751.html


อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวที่ผม Post ไว้ใน Social Media ผมเองไม่ได้เข้าข้างฝั่งใดและขอพูดตามเนื้อผ้า ตามหน้างานที่ผมเห็นมา(เป็นความเห็นส่วนตัวของผมทั้งสิ้น)

เมื่ออ่านเนื้อหาตามข่าวเสร็จผมจึงเกิดข้อสงสัย ดังนี้ครับ

เออ...ผมไม่ได้จะขัดนะครับเห็นด้วย แต่ว่า

1. "จึงไม่ควรบีบการทำงานด้วยการกำหนดเวลาที่ต้องส่งบันทึกข้อมูลเพื่อรับเงิน" ใครบังคับหรือครับ ?

- แลกเปลี่ยนตามสิ่งที่เห็น และ รับทราบนะครับ ในเรื่องของข้อมูล สปสช. จ่ายเงินตามข้อมูลที่ส่งไปเท่านั้น ถ้าการคีย์เป็นภาระท่านไม่คีย์ส่งไปทาง สปสช.ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะผลงานของ สปสช. คือ การบริหารจัดการเรื่องเงินเท่านั้น ดังนั้นคำว่า "หากข้อมูลที่ส่งไม่ครบหรือไม่ถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนด เงินที่จะได้รับก็จะถูกตัด" มันไม่มีการตัดนะครับแต่เป็นการจ่ายตามข้อมูลที่ส่งเข้าไปเท่านั้นเอง เช่น ที่จังหวัดผม จนท.หลายคนโทรมาสอบถามผมว่าคีย์ไม่ทันแน่ๆ มีปัญหาอะไรไหม ผมจะบอกว่าไม่ทันไม่เป็นไรแค่ไม่ได้เงินแต่เราเน้นคีย์เพื่อนำข้อมูลมาใช้ดังนั้นการให้สัมภาษณ์ว่า สปสช.บังคับ อาจจะไม่ใช่มันเป็นแค่เกณฑ์การส่งข้อมูลเท่านั้นเอง ส่วนงบประมาณก็ไม่ได้มีส่วนนี้ส่วนเดียวหลายท่านลืมเรื่อง งบฯ PP ที่เหมาจ่ายรายหัวไปแล้วหรือ? ไม่เห็นมีใครพูดถึง งบฯที่ท่านกำลังพูดกันอยู่นี้มันเป็นแค่เป็นเรื่องของการกระตุ้นการคีย์ข้อมูลเท่านั้นเอง เป็นแค่ส่วนนึงของงบฯ ที่ไหลเข้ามาจากงบฯ ที่มีอยู่อีกหลายก้อน

2. "และยกเลิกการบันทึกข้อมูลบางเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของหมออนามัย" เรื่องอะไรบ้างที่ไม่ใช่หน้าที่ของหมออนามัยครับ?

- เอ ??? ใน 21 แฟ้มมีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่ใช่หน้าที่ของหมออนามัย อืม...นั่นสิ ผมเองกำลังคิดว่าหรือจะกลับไปยุคใช้ระเบียน รบ.1 ก 01 , 02 , 03 กันดี ตัดยาด้วยมือ เก็บข้อมูลด้วยทะเบียนมือ นั่งทอยรี่นับรายงานด้วยมือ... อืม...สำหรับผมประเด็นที่ 2 นี่น่าสนใจกว่าครับ....

3. ผมเองไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องการคีย์ทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่เห็นด้วยแม้กระทั่งการต้องส่งข้อมูลรายบุคคลไปให้ส่วนกลาง รวมไปถึงการบังคับใช้โปรแกรมเดียวกัน หลายเรื่องที่มันไร้สาระ แต่ตามเนื้อข่าวที่ผมอ่านมานี่มันเป็นการพูดลักษณะว่าเน่า "เหมาเข่ง" ผมอยากให้ลองคิดดูดีๆครับว่าจริงๆแล้วมันมี ข้อดี ข้อเสีย อะไรมากกน้อยแค่ไหน ควรบอกข้อเสนอแนะทางออกเพื่อแก้ไขด้วยจะ Perfect มากเลยครับ


หลังจากนั้นได้เห็นหลายเจ้าหน้าที่หลายๆท่านพยายามทวงศักดิ์ศรีของหมออนามัยคืนมาผมจึงต้องลงข้อความไปอีกชุดนึงตามนี้

ต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าเม้นท์ผมทำให้หลายท่านรู้สึกขัดใจ...แต่สิ่งที่ควรจะกระทำเลย คือ เราต้องเสนอทางออกให้ผู้ใหญ่ครับ ถ้าเราบอกแต่ความอยากแต่ไม่เสนอทางออกมันจะกลายเป็นเพียง "คำบ่น" จากคนทำงาน เขาไม่ทราบหรอกครับว่าต้องมีทางออกอย่างไร? ถ้าเราไม่เสนอไป... ถ้าต้องการให้ปัญหาถูกแก้ไข เราต้องชี้นำวิธีการครับ ข่าวที่เสนอมาข้างต้นเท่าที่ผมอ่านเหมือนเป็นการบ่นเสียมากกว่า... แต่จริงๆแล้วต้องกระเทาะให้เห็นถึงปัญหาครับ ผมขออนุญาตร่ายยาวอีกชุดนะครับ

1. ถามว่าในข้อมูล 21 แฟ้มที่เราคีย์ส่งกันนั้นข้อมูลอะไรที่เป็นภาระ ทั้งหมดจริงหรือไม่? ทำไมสมัยก่อนเราเอาโปรแรมมาใช้งานทั้งๆที่ไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเรายังคีย์ข้อมูลกันได้ เราคีย์ข้อมูลอะไรกัน?
เท่าที่ผมเห็นตอบตรงๆปัญหาจุกจิกในการคีย์ข้อมูลบางเรื่องมาจากเงื่อนไขที่ทาง จนท.สร้างขึ้นเอง หรือ โปรแกรมบังคับให้ต้องคีย์ เช่น การคัดกรอง DM&HT บางโปรแกรมต้องไปคีย์เป็นบริการด้วยให้ครบสูตรเปิดทั้ง Service ลง Diag ครบครัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องลงเลยด้วยซ้ำ ท่านทราบหรือไม่ว่ารหัส Z คัดกรองนั้น สปสช.ไม่คิด Point ให้ ยกเว้นคัดกรอง 3 เรื่องเท่านั้น (จำไม่ได้) แล้วจริงๆแล้วทำไมท่านถึงต้องไปเพิ่มภาระการคีย์(ขออภัยนะครับ เนื่องจากจังหวัดผมใช้ 2 โปรแกรม อีกโปรแกรมนึงมีรายชื่อคนที่ต้องคัดกรองขึ้นมาแล้วคีย์ลงไปตรงๆเลยไม่ต้องไปเปิดบริการลงอะไรให้วุ่นวาย ผมเลยไม่ทราบว่าโปรแกรมอื่นเป็นอย่างไร?)

2. เมื่อตอบคำถามข้อ 1 ได้แล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาเราจะมีหาทางออกเช่นไรเพื่อที่จะทวงคุณค่าและศักดิ์ศรีหมออนามัย....ต้องทำงานชุมชนจริงๆ แล้วกระทรวงจะทราบได้อย่างไรว่าเราทำงานชุมชนจริงๆ แน่นอนครับตอนนี้ทางท่านปลัดฯส่งสัญญาณบางอย่างมาแล้วว่าข้อมูลบางเรื่องเราอาจไม่ต้องคีย์ อาจให้ส่งเป็นรายงานแบบเดิม แต่ทางกระทรวง+สตง. อาจจะมีการลงสุ่มโดยการจ้างบริษัทมาลงสำรวจพื้นที่ว่าท่านได้ทำงานชุมชนจริงๆ ตามที่รายงานส่วนกลางไปหรือไม่? ซึ่งนโยบายยังไม่แน่ชัดแต่น่าจะออกมาในรูปแบบแนวๆนี้

ทุกคนทำงานมีความตั้งใจครับแต่ถ้ามันเป็นปัญหาผมอยากให้ท่านวิเคราะห์ว่าจริงๆแล้วนั้นปัญหา คือ อะไร? จากประเด็นที่กำลังกล่าวถึงจริงๆ หรือไม่? แล้วเงื่อนไขที่จะช่วยให้ปัญหาหมดไปมีอะไร? ถ้าหลายเสียงช่วยส่งออกไปในลักษณะนี้ผมคิดว่าปัญหาน่าจะได้รับการแก้ไขแน่นอน เหมือนปัญหา New 43 แฟ้ม ในตอนนี้ เท่าที่ทราบ สปสช.จะใช้ 43 แฟ้ม แต่เงินจะไม่มีการจัดสรรในกองทุน OP แล้ว...ความแน่ชัดรอฟังประกาศอีกครั้ง หรือ ไม่แน่หากกระทรวงยกเลิกการคีย์ข้อมูล(ท่านปลัดฯ ทราบปัญหานี้และลงสอบถามจากพื้นที่เอง) สปสช. อาจจะไม่มีงบฯ สำหรับการดำเนินการส่วนนี้ทั้งหมดเลยก็เป็นได้ ใครจะคีย์ก็คีย์ไป แต่ไม่มีเงินสำหรับเรื่องนี้ก็อาจเป็นได้ครับ


จริงๆแล้วในความเป็นจริงที่ผมรับทราบมามันเป็นเช่นดังที่ผมกล่าวมาในข้อความข้างต้นจริงๆ จนผมไปเห็นข้อความจากพี่สาวของผมที่กล่าวไว้น่าสนใจว่า


ดังนั้น การที่ผมเอาเรื่องนี้มา Post ใน Blog นี้ก็เพื่ออยากให้ จนท.ของเราลองมองดูในเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆว่าปัญหา คือ อะไร แก่นของปัญหาจริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหน จริงๆแล้วเราต้องการอะไรกันแน่?

ผมคงไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้นะครับ ผมรู้แต่ว่าในส่วนของผมเองผมก็ต้องพัฒนาระบบงานของผมต่อไปตามบทบาทหน้าที่ๆผมรับผิดชอบ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านโชคดี และขอขอบคุณที่กรุณาสละเวลาเข้ามาอ่านบทความ(ที่อาจจะไร้สาระ)ของผมครับ



ธนสิทธิ์  ภู่ขาว
จพ.สธ.ชำนาญงาน

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โรค “ปวดหัว” ของคนทำงาน

โรค “ปวดหัว” ของคนทำงาน
นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง



      หากมีใครคนหนึ่งถามว่า “คุณเคยปวดศีรษะไหม” คงมีไม่กี่คนที่จะตอบได้อย่างมั่นใจว่า "ฉันไม่เคยปวดศีรษะเลยในชีวิต"

      โรคปวดศีรษะเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป จากการศึกษาทางสถิติพบว่า โดยเฉลี่ยผู้ชายร้อยละ 93 และผู้หญิงร้อยละ 99 ต่างเคยมีอาการปวดศีรษะในช่วงชีวิต แม้ว่าอาการปวดศีรษะของคนโดยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อาการปวดศีรษะมีความรุนแรงและเรื้อรังทำให้มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันโดยเฉพาะถ้าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดขึ้นในวัยทำงาน

      สาเหตุของอาการปวดศีรษะมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ โดยในคนสูงอายุจะมีโอกาสเกิดโรคที่มีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเนื้องอกสมอง โรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดอักเสบ มากกว่าวัยรุ่นและวัยทำงานซึ่งมักมีสาเหตุจากโรคไมเกรน โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว และโรคปวดศีรษะจากความเครียด อย่างไรก็ตามในวัยทำงานซึ่งถือว่าเป็นวัยที่มีภาระและความรับผิดชอบสูง หากมีโรคปวดศีรษะมารบกวนการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันก็เหมือนกับฝันร้ายในขณะตื่นเลยทีเดียว

1. โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว
     เป็นโรคปวดศีรษะชนิดที่พบบ่อยที่สุดในวัยทำงาน เราอาจเคยได้ยินบางคนบ่นว่า มีอาการปวด มึนๆ ตึงๆ ที่ศีรษะหลังจากทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือมีความเครียด โดยอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณว่า คุณกำลังมีอาการของ “โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว” ซึ่งเป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุด คำว่า “ตึงตัว” บ่งชี้ถึงลักษณะอาการของโรคปวดศีรษะชนิดนี้ คือ มีลักษณะปวดตึง บีบรัดศีรษะ ลักษณะคล้ายกับนำหมวกคับๆ มาสวม อาการปวดมักพบร่วมกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและหัวไหล่ รวมถึงอาการปวดกระบอกตาและอาการมึนศีรษะ โดยอาการมักบรรเทาได้ด้วยการนวดบริเวณที่ปวดตึง อาการปวดมักมีระดับไม่รุนแรงและไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยต้องพักหรือหยุดงาน อาการปวดมักบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาการปวดจะไม่รุนแรง แต่ผู้ป่วยที่ปล่อยให้เกิดอาการปวดเรื้อรังจะทำให้ยากต่อการรักษาและมีผลต่อสุขภาพจิต นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดเป็นประจำอาจนำไปสู่การติดยาแก้ปวดได้

      เนื่องจากอาการปวดมักมีความสัมพันธ์กับความเครียด ทำให้มีความเชื่อว่าสาเหตุของโรคเกิดจากความเครียด แต่จากการศึกษาพบว่า ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคโดยตรง แต่เป็นเพียงแค่ปัจจัยกระตุ้นเท่านั้น ในปัจจุบันแม้ว่าได้มีการศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุของโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่สามารถบ่งชี้สาเหตุของอาการปวดศีรษะชนิดนี้ได้อย่างแน่ชัด

      การรักษาและการป้องกันโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว ได้แก่ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดโปร่ง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้เนื่องจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและหนังศีรษะมีความเกี่ยวพันกับการนั่งหรือนอนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นการนั่งหรือนอนให้อยู่ในท่าที่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อจึงบรรเทาอาการและป้องกันอาการปวดศีรษะได้ อาการตึงตัวของกล้ามเนื้อสามารถบรรเทาได้ด้วยการนวดหรือการประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกแล้ว ยังลดผลข้างเคียงของยาแก้ปวดได้อีกด้วย


2.“โรคไมเกรน” โรคปวดศีรษะที่พบบ่อยรองลงมา ได้แก่ ถึงแม้ว่าโรคไมเกรนจะเป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้น้อยกว่าโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว แต่ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะที่มีความรุนแรงและมีผลกระทบต่อการทำงานมากกว่า เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ ประสาทสัมผัสของผู้ป่วยไมเกรนจะเพิ่มความไวในการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เสียง แสง กลิ่น ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นยอดต่ออาการปวดศีรษะ ร่างกายต้องพักจากการเคลื่อนไหว เนื่องจากการเคลื่อนไหวจะกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะเลวร้ายมากขึ้น จึงถือได้ว่าไมเกรนเป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างแท้จริง นอกจากนี้โรคไมเกรนยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน หงุดหงิดง่าย การนอนผิดปกติ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงไปอีก

      เนื่องจากโรคไมเกรนมีผลต่อการหดและขยายตัวของหลอดเลือดสมอง ผลของโรคไมเกรนจึงไม่ได้ทำให้เกิดแค่อาการปวดศีรษะเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดสมองตีบหรืออัมพาตอีกด้วย จากการศึกษาโดยนายแพทย์ Markus Schurks จาก Brigham and Women’s Hospital ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา พบว่า ในผู้ป่วยโรคไมเกรนชนิดออร่าเรื้อรัง (ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแสงก่อนหรือขณะปวดศีรษะ) จะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ผลจากการศึกษาทำให้ผู้ป่วยโรคไมเกรนต้องตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาโรคไมเกรนและการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบได้

      หลักการรักษาโรคไมเกรนที่สำคัญที่สุด คือ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการปวดศีรษะซึ่งได้แก่ กลิ่นฉุน แสงจ้า เสียงดัง อากาศหนาวหรือร้อนจนเกินไป นอนผิดเวลา นอนมากหรือน้อยเกินไป ความเครียด อาหารบางชนิด เช่น เนื้อที่ผ่านการถนอมอาหาร เนย เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากอาการปวดศีรษะมีความรุนแรงหรือความถี่มากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการแนะนำและการรักษาในขั้นต่อไปความเครียดกับอาการปวดศีรษะ
ในสภาวะปัจจุบันท่ามกลางสังคมแห่งการแข่งขัน ปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การงาน ปัญหาครอบครัว รวมไปถึงเรื่องการเมือง เป็นบ่อเกิดของความเครียดที่เพิ่มขึ้นในสังคม มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับความเครียด โดยเราได้ยินกันเป็นประจำกับคำว่า “เครียดจนปวดหัว” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คงมีหลายคนสงสัยว่าความเครียดสามารถเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้จริงหรือ และถ้าเรากำจัดความเครียดออกไปได้แล้วอาการปวดศีรษะจะหายหรือไม่
ความเครียดมีความเกี่ยวพันกับอาการปวดศีรษะได้หลายแง่มุม หากความเครียดเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะโดยตรง เรียกโรคปวดศีรษะชนิดนี้ว่า

3. “โรคปวดศีรษะจากความเครียด” อีกกรณีหนึ่งคือความเครียดไม่ได้ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะโดยตรง แต่เป็นเพียง “ปัจจัยกระตุ้น” ให้อาการปวดจากโรคปวดศีรษะชนิดอื่นๆ กำเริบรุนแรงมากยิ่งขึ้น โรคปวดศีรษะที่ความเครียดเป็นตัวกระตุ้น ได้แก่ โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวและโรคปวดศีรษะไมเกรน ในทางการแพทย์การวินิจฉัยแยกโรคปวดศีรษะที่มีความเกี่ยวพันกับความเครียดทั้งสองกรณีออกจากกันมีความสำคัญในแง่การรักษาและการพยากรณ์โรคในระยะยาว

      โรคปวดศีรษะจากความเครียดมีลักษณะการปวดได้หลายชนิด แต่อาการปวดมักไม่รุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตึง มึนศีรษะ หรือบางรายมีอาการปวดตุบๆ เหมือนอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน หลักเกณฑ์ในการให้การวินิจฉัยคือ ผู้ป่วยต้องมีความเครียดในระดับสูงมากพอที่จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาการที่แสดงถึงความเครียดในระดับสูง ได้แก่ กระวนกระวาย อ่อนเพลียง่าย สมาธิสั้น กล้ามเนื้อตึงตัว มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน และมีความเครียดที่ยากต่อการควบคุม การรักษา ได้แก่ ลดปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด หรืออาจพบจิตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการผ่อนคลายความเครียด ซึ่งโรคปวดศีรษะชนิดนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้

      ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียดเป็นตัวกระตุ้น การรักษานอกจากจะลดความเครียดแล้ว ยังต้องรักษาโรคปวดศีรษะที่เป็นอยู่ด้วย เช่น หากเป็นโรคไมเกรนอาจต้องใช้ยารักษาโรคไมเกรนควบคู่ไปกับการลดความเครียด เป็นต้น

4. โรคปวดศีรษะกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ 
ในยุคที่เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานจนเราจินตนาการได้ยากว่าการทำงานโดยปราศจากคอมพิวเตอร์เป็นอย่างไร ในแต่ละวันเราต่างใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กันคนละหลายชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทเนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์

      เมื่อเราจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แสงสว่างของจอมีผลทำให้กล้ามเนื้อตาเกิดการเกร็งตัว นอกจากนี้จอภาพยังมีผลทำให้สมองส่วนการรับภาพต้องทำงานหนักและทำให้เกิดภาวะเครียดและอาการมึนศีรษะตามมา อาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ มึนเวียนศีรษะ ระคายเคืองตา ปวดหรือหนักกระบอกตา การมองพร่ามัว นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในระยะเวลานานมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคต้อหินอีกด้วย

      วิธีการหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ ได้แก่ ปรับความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม โดยทั่วไปความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรเท่ากับความสว่างของสิ่งแวดล้อมที่ทำงาน การใช้ฟิล์มกรองแสงที่หน้าจอหรือการใส่แว่นตาที่มีการเคลือบกันแสงสะท้อนจากหน้าจอ (anti-reflective [AR] coating) การเช็กสายตาอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากปัญหาทางสายตา เช่น สายตาสั้น เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น การบริหารดวงตาโดยการละสายตาจากคอมพิวเตอร์และกลอกตาไปมาเป็นเวลา 10-20 วินาที ทุกๆ 20 นาทีของการใช้คอมพิวเตอร์ การกะพริบตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการตาแห้งและระคายเคืองสายตา เพียงเท่านี้ก็ทำให้การทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ไม่สร้างความเครียดให้สมองและสายตามากนัก

5.โรคปวดศีรษะจากผลของคาเฟอีน
เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม เป็นที่นิยมอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในสังคมมนุษย์ไปแล้ว จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่า ประชากรทั่วไปดื่มกาแฟโดยเฉลี่ยมากถึง 2.5 แก้วต่อวัน ซึ่งคาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องดื่มจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายและสมองเกิดความตื่นตัว ไม่ง่วงนอน กระตุ้นระบบหัวใจและหลอดเลือด มีผลให้ร่างกายทนต่อการทำงานได้มากขึ้น

     ผลของคาเฟอีนต่อสมองและหลอดเลือดมีความเกี่ยวพันกับโรคปวดศีรษะหลายชนิดทั้งในด้านบวกและด้านลบ ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดของคาเฟอีนได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะฉับพลันของโรคไมเกรน แพทย์บางท่านแนะนำว่า เมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน การดื่มกาแฟสักหนึ่งแก้วสามารถทำให้อาการทุเลาได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าคาเฟอีนสามารถระงับอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน แต่การบริโภคคาเฟอีนติดต่อกันเป็นระยะยาว ไม่ว่าจากการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนหรือใช้ยาที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนเป็นประจำ จะทำให้สมองเกิดการดื้อต่อคาเฟอีนและเกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาต้านไมเกรน ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคไมเกรนหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ หากบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมากยังมีผลทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย สมาธิสั้น ซึ่งทำให้กระตุ้นโรคปวดไมเกรนและโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวทางอ้อมอีกด้วย

      นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนเป็นระยะเวลานาน ร่างกายและสมองจะเกิดการปรับตัวให้เกิดภาวะติดคาเฟอีน ซึ่งทำให้เมื่อหยุดดื่มคาเฟอีนจะมีอาการปวดศีรษะ เรียกโรคปวดศีรษะชนิดนี้ว่า “โรคปวดศีรษะจากการขาดคาเฟอีน” (caffeine withdrawal headache) โดยโรคปวดศีรษะจากการขาดคาเฟอีนจะเกิดขึ้นในคนที่บริโภคคาเฟอีนอย่างน้อย 200 มิลลิกรัมต่อวัน (ปริมาณเท่ากับกาแฟ 2 แก้ว หรือชา 4 แก้ว) ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ทุเลาเมื่อระยะเวลาผ่านไปหลังหยุดบริโภคคาเฟอีนเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์

     เนื่องจากอาการปวดศีรษะที่พบได้ในวัยทำงานมีความหลากหลาย สิ่งที่สำคัญคือการสังเกตและเอาใจใส่ต่ออาการและสภาพแวดล้อมที่อาจมีส่วนกระตุ้นอาการปวดศีรษะ การละเลยที่จะค้นหาถึงสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่แท้จริงและทำให้การรักษาล่าช้าตั้งแต่ระยะแรก อาจทำให้โรคปวดศีรษะมีความยากต่อการรักษา และหลายคนอาจต้องบ่นออกมาว่า “รู้อย่างนี้ รักษาตั้งแต่แรกก็ดี” ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวัยทำงานและกำลังมีอาการปวดศีรษะ คุณได้สำรวจอาการปวดศีรษะของคุณแล้วหรือยัง

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิธีรับมือกับนิสัยยอดแย่ของเพื่อนร่วมงาน

คนคุณภาพ…ด้วย คุณ-นะ-ทำ
ที่มา : http://blog.rmutp.ac.th

  บางครั้งเราก็มีผู้ร่วมงานที่ยอดเยี่ยม คือเป็นนักทำงานอย่างแท้จริง ทำงานในหน้าที่ได้รวดเร็วและสำเร็จลุล่วงด้วยดี ไม่เกี่ยงงานหรือหมกเม็ด ไม่ขี้ฟ้อง แถมยังมีนิสัยดีน่าคบหาอีกด้วย แต่บางครั้งถึงคราวชะตาตกต่ำก็จะเจอผู้ร่วมงานที่เข้ากันได้ยาก เพราะเขาหรือเธอมีความเห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ ไม่มีความสามารถ ดีแต่คอยยกยอปอปั้นเจ้านายเพื่อจะได้ไต่ตำแหน่งงาน คอยเอาหน้าเอาผลงานมากกว่าการทำงานอย่างจริงจัง อย่างว่าล่ะนะ เราไม่อาจที่จะหาผู้ร่วมงานด้วยตัวเองได้ แต่เราก็มีวิธีรับมือกับคนทำงานที่มีนิสัย (เสีย) 10ประเภทดังนี้ค่ะ
1.หลีกเลี่ยงหน้าที่ คนแบบนี้มักค่อยๆ แบ่งงานของตัวเองไปให้เพื่อนร่วมงาน แล้วก็มีคำพูดที่ท่องจำจนขึ้นใจว่า ฉันกำลังมีงานยุ่งมาก
ข้อแนะนำ บอกหัวหน้างานคุณเป็นนัยว่า เขาหรือเธอคนนั้นไม่ค่อยมีอะไรทำเป็ินช้ินเป็นอัน ควรให้งานโปรเจ็กต์เขาไปลองทำดูบ้างดีมั้ย
2.ประจบเจ้านาย คนประเภทนี้จะยกยอปอปั้นเจ้านาย อะไรๆ เจ้านายก็ถูกต้องหมด
ข้อแนะนำ แสดงความสามารถของคุณให้เจ้านายเห็นเท่าที่ทำได้
3.ชอบซุบซิบนินทา ไม่ว่าจะไปทานอาหารหรือพบเจอกัน คนประเภทนี้จะต้องซุบซิบนินทาเรื่องคนอื่นเป็นของหวานยามปากว่าง
ข้อแนะนำ คุยกับคนประเภทนี้ให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าเล่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคุณให้เขาฟัง และอย่าสนใจคนประเภทนี้ หากไม่มีใครฟัง เดี๋ยวก็เงียบไปเองแหละ
4.ช่างยุแหย่ เพื่อนร่วมงานประเภทนี้ชอบพูดเรื่องคนนั้นคนนี้และเล่าไปมาให้คนทะเลาะกันเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์
ข้อแนะนำ ต้องร่วมมือกันหลายๆ คนในออฟฟิศด้วยการไม่สนใจเขาเลย ต้องดัดนิสัยเสียบ้าง
5.จอมยุ่งเหยิง บนโต๊ะทำงานของเขามีเอกสาร ข้าวของกองยุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่ถุงเท้าเขายังใส่สองข้างต่างสีกันเลย
ข้อแนะนำ ตราบใดที่เขายุ่งเหยิงกับตัวเขาเองโดยไม่ได้ทำให้คุณเสียหาย ก็ปล่อยเขาซะ หรือหากคุณอยากทำตัวเป็นแม่สักครั้งด้วยการเก็บของบนโต๊ะให้เขาอาทิตย์ละครั้งเพราะทนไม่ไหวก็แล้วแต่ความใจดีของคุณก็ละกัน
6.ไร้เดียงสาหรือไม่อยากช่วย เพื่อนร่วมงานคนนี้มักบอกว่าทำไม่ได้ นอกจากยิ้มแล้วก็ถามว่า ทำยังไงน่ะ ปล่อยให้คุณอธิบายหลายรอบ แล้วก็กลับมาถามอีก
ข้อแนะนำ ให้คุณบอกว่า คุณอธิบายมาหลายรอบแล้ว หากจำไม่ได้ก็ควรจดโน้ตไปด้วย
7.โตแต่ตัว เพื่อนร่วมงานคนนี้ชอบส่งอีเมล์และรูปภาพประกอบที่ตลกๆ สนุกสนาน หรือซ่อนภาพแปลกๆ ไว้ในเอกสารสำคัญๆ
ข้อแนะนำ อย่าหัวเราะกับเรื่องตลกของเขาเพราะจะทำให้เขาชอบใจและทำมากขึ้น หรือคุณอาจบอกว่าเขาว่า นี่คือโลกของผู้ใหญ่นักทำงานนะคะ
8.ขี้หลี หนุ่มคนนี้ชอบเจ๊าะแจ๊ะจอแจกับเพื่อนร่วมงานสาวๆ  หรือชอบพูดจาแทะโลมเท่าที่โอกาสจะอำนวย
ข้อแนะนำ ไม่ต้องลังเล จัดการกับเขาซะ อาจว่ากล่าวตรงๆ หรือหากแต๊ะอั๋งก็ตวัดมือสักที หรือนำไปเล่าในที่ประชุมเพื่อปรามหนุ่มขี้หลี
9.โทรศัพท์ส่วนตัวทั้งวัน ผู้ร่วมงานคนนี้ทำยังกับว่าออฟฟิศคือบ้านส่วนตัวของเธอหรือเขางั้นแหละ ก็คุณเธอเล่นโทรศัพท์คุยกับเพื่อนได้ทั้งวันแทบไม่มีหยุด โทรศัพท์ก็ดังไม่หยุดหย่อน
ข้อแนะนำ ส่งงานเร่งด่วนให้เธอหรือเขาทำเพื่อจะได้ไม่มีเวลาคุยโทรศัพท์
10.อีโก้สูง ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรหรือทำอะไร ก็มักจะผิดในสายตาของเพื่อนร่วมงานคนนี้ เธอหรือเขา จะพูดจาดูถูกดูหมิ่นหรือบลั๊พให้คุณหน้าแตกแบบไม่ต้องเย็บกันละ
ข้อแนะนำ อย่าแสดงอารมณ์ร่วมกับหล่อน (เขา) เพราะจะทำให้คนประเภทนี้ได้ใจ ให้คุณทำงานไปตามปกติ ทำเหมือนกับว่าคุณไม่ได้ใส่ใจกับนิสัยของเธอ (เขา) และให้คุณพูดกับเธอ (เขา) ด้วยสำเนียงร่าเริงเพื่อให้รู้ซะมั่งว่านิสัยแย่ๆ อย่างนี้เก็บไปใช้ที่บ้านเถอะจ้ะ
Ref. : http://women.kapook.com/work00229/

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นิทานอีสป...สะท้อนองค์กร

มันอาจจะเป็นมุมมองของคนๆนึง แต่มันก็ไปตรงกับชีวิตของคนอีกหลายๆคน ผมเชื่อว่าหลายคนมีทัศนคติที่ดีกับงาน แต่ทัศนคติที่ดีๆนั้นก็พังทลายลงเพราะสิ่งแวดล้อมในการทำงาน งานทำร้ายเราไม่ได้ สิ่งที่ทำร้ายเรา คือ "ผู้ร่วมงาน" นั่นเอง นิทานเรื่องนี้ผมเห็นมานานแล้วล่ะครับ แต่มันก็ยังคงโดนใจคนทุกยุค ทุกสมัย เหมือนคำที่ผมเคยได้ยินหลายๆคนพูดว่า "ทำงานกับงาน ไม่ลำบากเท่าทำงานกับคน"